post

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดตัวแทนหนึ่งเดียวของไทยลีกที่ได้ร่วมแข่งขันรายการชิงแชมป์สโมสรเอเชียตกอยู่ในสภาพจมบ๊วยของกลุ่มจี ลงเล่น 5 นัดชนะได้ 1 นัดแต่แพ้ไปถึง 4 เกม มีเพียง 3 คะแนนเท่านั้น ถือเป็นอีกฤดูกาลที่สโมสรมีผลลัพธ์ในเกมระดับทวีปแบบไม่น่าประทับใจเลย

หลังจากทำผลงานได้อย่างสุดยอดจนผ่านเข้าไปเล่นถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้ในฤดูกาล 2013 บุรีรัมย์ก็ทำผลงานได้ดีเพียงระดับหนึ่งในช่วงเวลาหลังจากนั้น ทีมยังคงคว้าสิทธิ์ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มได้ถึง 3 ครั้งติดแต่ก็จอดแค่ตรงนั้น ไม่สามารถผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ได้

ในปี 2016 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดจบไทยลีกด้วยอันดับ 4 พลาดสิทธิ์คว้าตั๋วลุยศึกระดับเอเชีย จนเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรสั่งปรับทีมขนานใหญ่ ทีมกลับมาเป็นแชมป์ไทยลีกในฤดูกาล 2017 และได้เป็นตัวแทนลุยเอซีแอลอีกครั้ง และเป็นดิโอโก้ หลุยส์ ซานโตที่ยิงระเบิดเถิดเทิงพาทีมเข้ารอบ 16 ทีมได้เป็นครั้งที่สองของสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดเปิดบ้านนัดแรกชนะชนบุก ฮุนได มอเตอร์จากเกาหลีใต้ 3-2 แต่ไม่สามารถรักษาผลที่ดีได้ในการไปเยือนบ้าง โดยแพ้ไป 2-0 ถึงอย่างนั้นก็มีความมั่นใจว่าในปีหน้าบุรีรัมย์จะทำได้ดียิ่งขึ้นไปอีก ถ้าสามารถคว้าสิทธิ์มาร่วมศึกได้อีกครั้ง

สโมสรปราสาทสายฟ้าจากจังหวัดบุรีรัมย์ทำได้สำเร็จด้วยการเป็นแชมป์ไทยลีกในปี 2018 อีกครั้ง แต่การเสียดิโอโก้ ดาวซัลโวที่เป็นกำลังหลักของทีมมาในช่วงหลายปีหลัง ทำให้เแฟนบอลและกูรูมองว่าทีมจะขาดประสิทธิภาพในการทำประตูไปอย่างมากแน่ แม้เจ้าของสโมสรและผู้บริหารจะมองต่างไป แต่ความจริงที่ปรากฏคือบุรีรัมย์มีสถิติการทำประตูที่แย่ลงอย่างชัดเจน จำนวนประตูที่ทำได้เพียง 3 ลูกจาก 5 เกม และผลต่าง -7 มันคือแผลสดขนาดใหญ่ที่บุรีรัมย์ต้องยอมรับ พวกเขามั่นใจอย่างเดียวไม่ได้ ทีมต้องมีความพร้อมจริงๆ เท่านั้นจึงจะต่อกรกับบรรดาทีมยักษ์ร่วมทวีปทีมอื่นๆ ได้

ผลพวงจากการที่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดเชื่อมั่นว่าพวกเขาสามารถใช้ดาวรุ่งเป็นแกนหลักของสโมสรในถ้วยเอเชียปีนี้ แสดงให้เห็นถึงความต่างระดับของผู้เล่นระดับเล่นไทยลีกสบายๆ กับการเผชิญหน้าคู่แข่งในระดับชิงแชมป์เอเชียได้ชัดเจน นักเตะหลายคนแสดงให้เห็นถึงความหวังที่พอเป็นไปได้ แต่อีกหลายคนเหมือนเจอทางตันที่จะไปต่อ ยังไม่รวมในแง่ของแท็คติกและแผนการเล่นที่ขาดความแน่นอน ขาดประสิทธิภาพและขาดแรงกระตุ้น

เนวิน ชิดชอบ ออกมายอมรับว่าในปีนี้ทีมทำผลงานได้ไม่ดีอย่างที่ตั้งใจไว้ นับจากปี 2013 มาถึงตอนนี้ ครบ 5 ปีที่เขาเคยประกาศว่าจะพาบุรีรัมย์ทะยานขึ้นท็อปไฟว์ของเอเชีย ซึ่งถูกพิสูจน์แล้วว่าการทำให้มันเป็นความจริงนั้นยากกว่าแค่คิด บุรีรัมย์อาจจะพัฒนาขึ้นมาอย่างมาก กลายเป็นทีมที่ยากต่อการเอาชนะของสโมสรในเมืองไทย แต่พวกเขาก็ยังไม่แข็งแกร่งพอในระดับที่สูงกว่า

มีคำกล่าวว่านักสู้ฝีมือจะดีขึ้นได้ต้องมีคู่แข่งที่ทัดเทียมกัน แต่เมื่อกวาดตาไปรอบๆ บุรีรัมย์โดดเดียวอยู่บนเวทีไทยลีก จากที่เคยสู้กับชลบุรี เอฟซีแบบถึงพริกถึงขิง จากที่เคยปะทะกับเมืองทอง ยูไนเต็ดได้แบบไม่มีใครยอมใคร ตอนนี้ไม่มีทีมที่สมน้ำสมเนื้อกับพวกเขาเลย ไม่มีทีมที่ดีพอจะคว่ำพวกเขาลงได้แม้ในช่วงที่ทีมดูอ่อนกำลังลงแบบตอนนี้ด้วยซ้ำไป เมื่อไร้คู่แข่งจะช่วยขัดเกลาให้บุรีรัมย์ทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ปราสาทสายฟ้าก็เลยเหมือนหยุดนิ่งอยู่ในจุดที่ไม่มีแรงผลักดันใดๆ ให้ทีมต้องตื่นตัวหรือหิวกระหายชัยชนะเหมือนเคยผ่านมา

มันยากที่จะหาคู่แข่งที่จะเบียดแบบไหล่ชนไหล่กับบุรีรัมย์ได้ในเวลานี้ จริงอยู่ว่าหลายสโมสรในไทยลีกเริ่มสร้างแนวทางที่จะกลายเป็นทีมที่เดินตามรอยบุรีรัมย์ไปยังเวทีระดับเอเชีย แต่ดอกผลของมันยังไม่เกิดขึ้น ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีความหวังว่าทีมต่างๆ จะเอาจริงเอาจังกับมันเมื่อโอกาสสูงที่ไทยลีกจะได้โควตาเข้าเล่นระดับเอเชียในปีหน้าเพิ่มแบบอัตโนมัติจาก 1 เป็น 2 ทีม และนั่นคงเป็นการดีที่บุรีรัมย์จะได้เจอทีมที่พยายามไล่จี้พวกเขาให้กระชั้นชิดมากขึ้น