แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดปะทะลิเวอร์พูล ศึกวันแดงเดือดที่ดุเดือดแรงร้อนกว่านัดแรกแน่นอน

การพบกันของอริร่วมเกาะอังกฤษระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกับลิเวอร์พูล ถูกยกให้เป็น Red War ที่เกาะอังกฤษ เนื่องจากทั้งสองทีมต่างมีฉายาว่า Red หรือสีแดงทั้งคู่ และเมื่อถูกแปลเป็นไทยด้วยคำเก๋ๆ ว่า “ศึกแดงเดือด” มันจึงระบุชัดเจนว่าเกมระหว่างสองทีมนี้พบกันครั้งใดต้องเตะกันอย่างถึงพริกถึงขิง

ทว่าหลายฤดูกาลแล้วที่เกมแดงเดือดไม่ได้เดือดอย่างที่แฟนบอลทั่วโลกตั้งตารอคอย ไม่ลิเวอร์พูลก็แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่หลุดจากสภาพทีมที่แข็งแกร่งไปก่อน โดยเฉพาะฤดูกาลนี้ที่เกมแดงเดือดนัดแรกที่แอนฟิลด์จบลงแบบสู้กันไม่ได้ทุกประการ

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลมีต้นฤดูกาลที่ยอดเยี่ยม พวกเขาไม่แพ้ใครอย่างยาวนานจนกระทั่งถึงนัดแดงเดือดที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดภายใต้การคุมทัพของโฆเซ่ มูริญโญ่ออกมาเยือน มีความคาดหวังถึงระดับความเดือดในเกมไว้เพียงระดับหนึ่ง  เพราะมันเป็นฤดูกาลที่ฝั่งยูไนเต็ดทำผลงานได้ไม่ดีเลย ทุกคนคาดหวังว่าอย่างน้อยในเกมที่เต็มไปด้วยศักดิ์ศรี มันควรจะมีอะไรสนุกขึ้นมาบ้าง ราคาต่อรองก่อนลงสนามเจ้าบ้านต่อ 1 ลูก ปรากฏเซียนทุกสำนักสั่งอยู่ข้างคล็อปป์หมด ผลปรากฏว่าในสนามนั้นลิเวอร์พูลเล่นได้ดีกว่าและเอาชนะได้ทุกแง่มุม จบนัดแรกของศึกแดงเดือดฤดูกาล 2018/2019 อย่างจืดชืด

ความเปลี่ยนแปลงในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดช่วงเดือนธันวาคมกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อดีตนักเตะผู้ซื่อสัตย์ของทีมได้ก้าวมาคุมทีมชั่วคราว เขาเอาบางสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณของสโมสรกลับมา และนั่นทำให้ทีมออกสตาร์ทได้ด้วยชัยชนะในลีก 5 เกมติด และวิธีการเล่นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ไม่ใช่ว่าทีมปีศาจแดงเล่นดีขึ้น พวกเขากลับไปสู่การเล่นแบบที่ควรเป็นมากกว่า ปรัชญาเกมรุกถูกนำกลับมาใช้และมันได้ผล

ลิเวอร์พูลกลับกลายเป็นทีมที่ประสบปัญหา พวกเขากำลังเผชิญกับการที่แนวรับบาดเจ็บ ซึ่งเจอร์เก้น คล็อปป์มีบทเรียนมาแล้วจากฤดูกาลที่ผ่านมา เขาเสริมทัพได้ดี มีผู้เล่นทดแทนอย่างยอดเยี่ยม แต่ข่าวร้ายคือจำนวนของผู้เล่นในแนวรับที่มีอาการบาดเจ็บดันเพิ่มสูงกว่ากว่าที่เกิดขึ้นในฤดูกาลที่แล้ว และผู้เล่นที่มีอยู่ไม่พอหมุนเวียนลงสนาม นี่จึงเป็นสาเหตุให้หงส์แดงเปิดฉากปีใหม่ด้วยการพ่ายสองเกมติด โอกาสเป็นแชมป์ยังสูงแต่มันเปิดกว้างกว่าเก่า

สถานการณ์ขาขึ้นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับขาลงของลิเวอร์พูล ทำให้แฟนบอลมองไปถึงเกมแดงเดือดที่จะเกิดขึ้นช่วงปลายกุมภาพันธ์ในมุมมองใหม่ จากที่เคยคิดหลังจบเกมที่แอนฟิลด์ว่าลิเวอร์พูลคงเอาชนะได้อีกครั้งแบบไม่ยากอะไร กลายเป็นไม่แน่เสียแล้วหากโซลชายังพาลูกทีมเล่นได้ดีอย่างนี้ต่อไป เอาฟอร์มและความพร้อมปัจจุบันเป็นหลัก เกมนี้ออกฝั่งแมนเชสเตอร์ได้ล้างแค้นแน่นอน

ราคาต่อรองเกมแดงเดือดที่โอลด์ แทร็พฟอร์ดไม่เสมอก็ ป.ป. เรื่องจะแพงถึงหนึ่งลูกคงเป็นไปได้ยาก ใครออกราคาต่อมารีบรอง แนวโน้มออกเสมอสูงเพราะลิเวอร์พูลจถึงจะไม่สมบูรณ์ ต้องแค่เรื่องเล่นเอาหนึ่งแต้มไม่น่าพลาด เพราะอย่างน้อยหนึ่งแต้มก็ยังดีกว่าไม่ได้ แถมถ้าแพ้ขึ้นมากำลังใจที่สร้างมาเพื่อการลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในรอบเกือบ 30 ปีจะหายเอา ขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ต้องการล้างอายความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ และทำอันดับเพื่อกลับไปเล่นรายการถ้วยยุโรปอีกครั้งอาจจะผิดหวังเล็กน้อย

เกมนี้แฟนบอลน่าได้รับรู้ถึงอารมณ์ความระทึกใจแบบหนังคนละม้วนกับเกมนัดแรกอย่างสิ้นเชิง และสีสันของเกมที่ทุกคนตั้งตาคอย ก็น่าจะออกมาสมกับที่มันได้รับฉายาว่า “แดงเดือด” อีกครั้งเสียที

แอตเลติโก้ มาดริด เป้าหมายคือสังเวียนนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีกในฝัน

 

การได้เข้าชิงชนะเลิศรายการที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปอย่างยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกคือความฝันของทุกสโมสร แต่ปีนี้แอตเลติโก มาดริดคงอยากที่จะฝันเป็นจริงมากเป็นพิเศษ เมื่อวานด้า เมโทรโปลิตาโน่ รังเหย้าในเกมลา ลีก้าของพวกเขาถูกเลือกเป็นสังเวียนนัดชิงชนะเลิศ

แอตเลติโก มาดริดสามารถผ่านเข้ารอบในกลุ่มที่มีโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จากเยอรมัน, คลับ บรูช จากเบลเยี่ยมและโมนาโก จากฝรั่งเศสเป็นเพื่อนร่วมกลุ่ม โดยเกือบเป็นแชมป์กลุ่มได้ด้วย หากไม่แพ้เฮดทูเอดทีมจากเมืองเบียร์ไปก่อน

นอกจากผลงานในแชมเปี้ยนส์ลีกที่ดีแล้ว เกมในฟุตบอลลีกของสเปน พวกเขาก็เป็นรองจ่าฝูง โดยมีแต้มตามหลังบาร์เซโลน่า 5 แต้มซึ่งเป็นระยะที่ยังได้ลุ้น และห่างจากรีล มาดริด คู่อริร่วมเมือง 5 แต้มเช่นกัน ซึ่งการได้ลุ้นแชมป์และทำอันดับเหนือกว่าอีกทีมของเมืองเป็นสิ่งที่แฟนบอลแอตมาดริดพึงพอใจมาก

สนามวานด้า เมโทรโปลิตาโน่ที่ถูกเปลี่ยนชื่อตามสปอนเซอร์หลักกับความจุ 67,703 ที่นั่ง เดิมทีมันถูกสร้างขึ้นโดยสภาเมืองมาดริดเพื่อใช้เป็นเวทีแข่งกรีฑาชิงแชมป์โลก แต่ก็ไม่ใด้ใช้งาน ถัดจากนั้นก็พยายามที่จะสร้างให้แล้วเสร็จเพื่อใช้ในกีฬาโอลิมปิก 2016 แต่ก็แพ้ในการเสนอตัวอีก ซึ่งหลังจากแพ้การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก ทางสโมสรแอตเลติโก มาดริดที่เพิ่งเซ็นสัญญากับทุนใหม่อย่างวานด้า บริษัทจากประเทศจีนก็เข้ามาซื้อสนามและทำการปรับปรุง ซึ่งก็แทบจะเท่ากับสร้างใหม่อยู่ 4 ปี จนพร้อมเปิดใช้งานในฤดูกาล 2017-2018

สนามแข่งใหม่ ความจุที่มากขึ้น ความทันสมัยที่ไม่น้อยหน้าใคร ทำให้มันกลายเป็นความภาคภูมิใจของสโมสรและแฟนบอล วานด้า เมโทรโปลิตาโน่กลายเป็นเวทีที่ทรงพลังสำหรับสโมสรลายขาวแดงแห่งกรุงมาดริด ด้วยเงินทุนจากสปอนเซอร์ที่มาจากเมืองจีน พวกเขาสามารถสร้างทีมที่แข็งแกร่งขึ้นมาต่อกรกับบาร์เซโลน่าและรีล มาดริดได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ไม่ใช่สู้ได้เพราะเป็นเกมใหญ่แล้วไปพ่ายกับทีมระดับกลางเหมือนที่แล้วมา

ขณะที่ผลงานของทีมดีขึ้นๆ สนามก็ถูกเลือกเป็นสังเวียนนัดชิงของรายการยุโรปที่พวกเขากำลังเข้าร่วม แรงจูงใจที่จะเดินทางไปให้ถึงนัดชิงในบ้านของตัวเองทำให้แอตเลติโก มาดริดเล่นเกมยุโรปอย่างยอดเยี่ยม พวกเขาลงเล่นที่สนามเหย้าและเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด นั่นแปลว่าเกมในวานด้า เทโทรโปลิตาโน่มีความหมายกับพวกเขาและแฟนบอลมากแค่ไหน

ในรอบ 16 ทีม แอตเลติโก้ มาดริดจับฉลากเจอกับอีกหนึ่งทีมที่คาดหวังผลงานระดับสุดยอดอย่างรีล มาดริด นักเตะคนสำคัญของอริร่วมเมืองได้ย้ายไปร่วมทัพและทำให้ยูเวนตุสกลายเป็นตัวเต็งขึ้นมาอย่างน่ากลัว คริสเตียโน่ โรนัลโด้จะได้กลับมาเยือนมาดริดอีกครั้งในสนามของคู่แข่งที่เขาเคยปะทะแข้งด้วย แต่คราวนี้มันคงไม่ง่ายเพราะเดิมพันเข้ารอบต่อไปนั้นสูงมาก

เส้นทางไปยังนัดชิงชนะเลิศของแอตเลติโก มาดริด อาจจะยังเหลือระยะทางอีกไกล แต่มันก็ไม่แน่ถ้าพวกเขาใช้เกมในบ้านเป็นแรงจูงใจที่จะเอาชนะและผ่านทุกทีมเพื่อไปถึงฝัน มันก็อาจจะเป็นไปได้ที่นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลแชมเปี้ยนส์ลีกจะมีชื่อของเจ้าของสนามตัวจริงลงแข่งขันเอง

เพียงแต่ว่าพวกเขาจะต้องหักปากกาเซียนเอาชนะยุเวนตุสที่ตูรินให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นเกมรอบ 16 ทีมจะเป็นเกมสุดท้ายที่ได้เล่นในวานด้า เมโทรโปลิตาโน่เป็นแน่

 

ลิเวอร์พูลกับโอกาสผ่านบาเยิร์นสู่รอบต่อไปของแชมเปี้ยนส์ลีก

พลันที่ผลการจับสลากประกบคู่รอบน็อคเอ้าท์ของรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกออกมาเป็นลิเวอร์พูลพบบาเยิร์น มิวนิค หลายสโมสรที่รอดจากการเจอลิเวอร์พูลก็พากันถอนหายใจยาว และเป็นบาเยิร์น มิวนิคที่ต้องหนักใจว่าพวกเขาจะรับมือกับลิเวอร์พูลอย่างไร

โดยชื่อชั้นแล้วบาเยอร์น มิวนิคไม่มีความจำเป็นต้องกลัวเกรงลิเวอร์พูลแม้แต่น้อย ราคาบ่อนพนันปล่อยให้เป็นแชมป์หงส์แพงกว่า 11/1 แต่บาเยิร์นไม่ห่างเลยที่ 21/1 ถึงอย่างนั้นเครดิตเกมยุโรปของลิเวอร์พูลดีมาก พวกเขามีพลังแฝงที่น่ากลัวยิ่งกว่าตัวตนของทีม นั่นเพราะค่ำคืนในเวทียุโรปของลิเวอร์พูลมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่จนยากเอาชนะ สาวกในแอนฟิลด์คือกำแพงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านขวางทางคู่แข่งทุกทีม และมันคือป้อมปราการที่ช่วยให้ลิเวอร์พูลก้าวไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ ในการลงเล่นถ้วยยุโรปหลายครั้งหลายหนตลอดหลายปีมาแล้ว

เกมนัดสุดท้ายของลิเวอร์พูลในรอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาหลังพิงฝาที่ต้องชนะสถานเดียวเหนือนาโปลี และมันก็จบลงด้วยชัยชนะ 1-0 ตามที่สโมสรเจ้าบ้านต้องการ ย้อนไปในเกมพบดอร์ทมุนด์ในยูโรป้าลีกปีก่อน พวกเขาก็ใช้เกมที่บ้านคว่ำผู้มาเยือนอย่างสุดมันส์ ยังไม่รวมเกมชี้เป็นชี้ตายนัดเจอโอลิมเปียกอสหลายปีก่อน หรือเกมที่พวกเขาถล่มโรม่าในรอบรองชนะเลิศปีที่แล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นภายใต้มนตร์ขลังและพลังวิเศษที่เกิดขึ้นในแอนฟิลด์ทั้งนั้น

ในนาทีนี้ลิเวอร์พูลเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ทำแต้มห่างรองจ่าฝูง 4 แต้ม และมีเกมสำคัญเพียงแค่ฟุตบอลลีกและฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกเท่านั้นที่พวกเขาจะต้องลงเล่น หลังจากที่หมดภารกิจในฟุตบอลถ้วยรายการอื่นอย่างรวดเร็ว บางคนมองว่านี่เป็นหมากที่ลิวเอร์พูลวางไว้โดยทิ้งถ้วยเล็กกว่าไป ทั้งที่ความจริงแล้วมันก็เกิดขึ้นได้เนื่องจากลิเวอร์พูลเผชิญปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่น

แต่ดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลไม่ใช่ทีมเดียวที่ต้องเผชิญปัญหา เนื่องจากคู่แข่งของพวกเขาต้องขาดผู้เล่นสำคัญอย่างโธมัส มุลเล่อร์ที่ติดโทษแบนทั้งสองเกมในการเจอกัน แถมด้วยอาร์เยน ร็อบเบ็นที่มีข่าวเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บอย่างไม่มีกำหนดกลับมาลงสนาม ซึ่งมันอาจจะไปเกิดขึ้นในช่วงที่ทีมลงทำการแข่งขันกันพอดี เนื่องจากปีนี้ทั้งปี ร็อบเบ็นเองก็ได้ลงไม่สม่ำเสมอเพราะอาการบาดเจ็บมาตลอด

นอกจากนี้ผู้จัดการทีมอย่างนิโก้ โควัชก็ยังเผยให้เห็นถึงประสบการณ์ที่ยังไม่ช่ำชองในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ต่างจากเจอร์เก้น คล็อปป์ที่กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวางหมากและแก้เกม โดยเขาสามารถที่จะพาลิเวอร์พูลผ่านสถานการณ์สำคัญๆ ได้ตามแผนที่วางไว้อย่างแยบยล แถมยังหมุนเวียนนักเตะได้ค่อนข้างดี แม้อาการบาดเจ็บของแนวรับจะกลายเป็นปัญหาใหญ่มากก็ตามที

ดูทรงจากตรงนี้ลิเวอร์พูลมีโอกาสดีที่จะผ่านบาเยิร์น มิวนิคเข้าสู่รอบต่อไปของฟุตบอลถ้วยใหญ่ยุโรปได้ไม่ยาก เอาชนะที่แอนฟิลด์แบบไม่เสียประตูสัก 2-0 และบุกไปยันเสมอ 0-0 หรือ 1-1 ถึงมิวนิคก็จบเรื่อง และมันคงไม่ยากที่จะผ่านเข้ารอบต่อๆไป อีกเหมือนที่พวกเขาทำได้ในฤดูกาลที่แล้วจนได้เข้าไปเล่นนัดชิงชนะเลิศ

 

ว่าที่เจ็ดนัดติดของผีแดง เกมที่จะต่อประวัติศาสตร์ของโซลชา

ผู้คนทั่วโลกที่กลายมาเป็นแฟนบอลของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมักชื่นชอบในการเล่นเกมรุกที่ดุดัน รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งนั้นเคยพาแมนเชสเตอร์ ยูในเต็ดครองความยิ่งใหญ่บนเกาะอังกฤษและยุโรป แต่มันหายไปพร้อมการมาของโฆเซ่ มูรินโญ่ อดีตผู้จัดการทีม จนกระทั่งเขาโดนปลด อดีตนักเตะของทีมก็เข้ามาทำหน้าที่แทนพร้อมกลับปรัชญาดั้งเดิมที่ถูกนำกลับมาใช้

โอเล่ กุนน่าร์ โซลชาสามารถเก็บชัยชนะได้ตั้งแต่นัดแรกที่คุมทีม โดยโซลชาพาทีมไปปลดล็อคหลังจากแพ้ลิเวอร์พูลและวาเลนเซียด้วยการชนะคาร์ดิฟฟ์ถึงบ้าน 1-5 แนวรุกสามารถทำประตูได้มากกว่าถึง 5 ลูกหลังจากครั้งสุดท้ายที่ทำได้ต้องย้อนกลับไปสมัยที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันยังคุมทีมด้วยซ้ำ แต่ทุกคนก็พูดว่านั่นเพราะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแข็งแกร่งกว่าคู่แข่งที่อยู่ในกลุ่มหนีตกชั้นมากอยู่แล้ว

ปีศาจแดงลงเล่นอีกสามเกมต่อมาด้วยการเอาชนะฮัดเดอร์ฟิลด์ 3-1, เอาชนะบอร์นมัธ 4-1 และเอาชนะนิวคาสเซิ่ลได้ 0-2 ทุกคนก็ยังคงมองว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยังไม่เจอทีมที่แข็งแกร่ง แต่ถึงตรงนี้แฟนบอลปีศาจแดงและสโมสรคู่แข่งรู้แล้วว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปหลังการมาของโอเล่ กุนน่าร์ โซลชา

เกมเอฟเอคัพกับเร้ดดิ้งก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งเกมที่ชี้วัดความแข็งแกร่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไม่ได้ ทีมรองบ่อนจากลีก วันแทบจะไม่มีอะไรที่สามารถต่อกรกับทีมจากพรีเมียร์ลีกได้เลย และนั่นทำให้โซลชาสามารถสร้างสถิติชนะรวด 5 เกมนับตั้งแต่คุมทีม เทียบเท่ากับตำนานอย่างเซอร์แมตต์ บัสบี้ซึ่งทำเอาไว้ตั้งแต่นานมาแล้ว

โจทย์ใหญ่ของโซลชาที่จะเป็นตัวพิสูจน์เขาและลูกทีมคือเกมนัดที่ 6 ในการคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมีคิดไปเยือนสเปอร์ ทีมที่นัดแรกของการเจอกันบุกมาชนะพวกเขาราบคาบ 3-0

ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นราวกับต้องการให้โซลชาได้เป็นตำนานบทใหม่ ทีมต้องเผชิญหน้ากับสโมสรที่ผู้จัดการทีมของพวกเขาเป็นเป้าหมายในการดึงมาคุมทัพฤดูกาลหน้า แต่การจบลงด้วยชัยชนะ 1-0 จากประตูของมาร์คัส แร็ชฟอร์ด และการป้องกันประตูที่สุดยอดของเดบิด เด เกอา ทำให้ประวัติศาสตร์ใหม่ในการเริ่มต้นงานคุมทีมของผู้จัดการสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปอยู่ที่ชัยชนะ 6 เกมรวด

แฟนบอลปีศาจแดงคงหวังว่าโซลชาจะสามารถทำสถิติใหม่ต่อไปได้อีก เพราะนัดหน้าพวกเขาจะได้เจอไบรท์ตัน แม้ว่าคู่แข่งจะเป็นทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องความเหนียวแน่นแถมยังเอาชนะพวกเขามาก่อน หากล้างแค้นได้มันจะเป็นเกมที่ 7 ของโซลชา และหากมีเกมที่ 7 ก็อาจจะมีเกมที่ 8 หากสามารถเอาชนะอาร์เซน่อลได้ในรอบถัดไปของฟุตบอลเอฟเอ คัพ

พูดตามตรงว่าโอกาสเก็บทั้งไบรท์ตันและอาร์เซน่อลเป็นไปได้หมดสำหรับผีแดงตอนนี้ สองเกมข้างหน้า ถ้าราคาไม่แพง เชื่อใจโซลชา วางใจหนูเดฟ ลุ้นหนึ่งเม็ดจากหนูแร็ช ถือหางผีแดงไว้ไม่ผิดหวัง

เทพนิยายที่โซลชากำลังทำอยู่ตอนนี้อาจจะยืดยาวออกไปอีกเรื่อยๆ หากเทียบกับการที่เขาสามารถซื้อใจนักเตะให้กลับมาอยู่ในความกระหายชัยชนะได้เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ และบางทีมันอาจจะส่งผลให้เขาได้สัญญาฉบับใหม่ที่ไม่ใช่แค่การคุมทีมช่วยสโมสรที่รักเป็นการชั่วคราวไปจนสิ้นสุดฤดูกาลนี้เท่านั้น

 

อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ทีมพลังหนุ่มที่โดดเด่นในเวทีแชมเปี้ยนส์ลีก

สโมสรจากเดนมาร์กเป็นแค่ทีมจากลีกระดับรองของยุโรปมาหลายปีต่อเนื่อง พวกเขามักสูญเสียผู้เล่นชั้นดีของทีมให้สโมสรใหญ่ๆ ในฤดูกาลถัดมาอยู่เป็นประจำ แต่มันไม่เกิดขึ้นกับอาแจ็กซ์ในฤดูกาลนี้

ปีที่แล้วอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัมสามารถทะลุเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศรายการยูโรป้า ลีกได้อย่างเซอร์ไพรซ์ พวกเขามีดาวรุ่งชั้นเยี่ยมมากมายสมกับที่เป็นสโมสรที่โดดเด่นในการปั้นนักเตะดาวรุ่ง จบฤดูกาลที่แล้วพวกเขารักษาขุมกำลังไว้ได้เกือบทั้งหมด และทุกคนก็กลายมาเป็นนักเตะที่ถูกกล่าวถึงมากในการแข่งขันแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลนี้

มัทไธจ์ส เด ลิกต์ กองหลังวัย 19 ปี, ดอนนี่ ฟาน เด เบค กองกลางวัย 20 ปี, แฟร้งกี้ เดอ ย็อง กองกลางวัย 21 ปี, นัซเซอร์ มาซราอุย วิงแบ็ควัย 21 ปี รวมถึงเดวิด เนเรส ปีกขวาวัย 21 ปี ซึ่งทุกคนเป็นกำลังสำคัญในฤดูกาลที่ผ่านมา แถมแต่ละรายก็ถูกเชื่อมโยงข่าวย้ายตัวกับสโมสรระดับชั้นนำ จากทั้งสเปน อังกฤษและอิตาลี จึงนับว่าเป็นความเยี่ยมยอดที่อาแจ็กซ์สามารถรั้งพวกเขาไว้ได้ และมันทำให้ทีมสามารถลงต่อกรกับคู่แข่งในแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม ที่มีเพื่อนร่วมกลุ่มอย่างบาเยิร์นได้อย่างน่าประทับใจ

อาแจ็กซ์ทะลุเข้ารอบน็อคเอ้าท์ด้วยการไม่แพ้บาเยิร์น มิวนิคทั้งสองนัด มันคือก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของบรรดาแข้งวัยรุ่น ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเขาได้ลงเล่นในเกมระดับสูงต่อไปอีก หลังจากที่ปกติมักตกรอบแบ่งกลุ่มไปก่อน แต่มันทำให้ทุกคนมีโอกาสแสดงศักยภาพที่เปลี่ยนเป็นค่าตัวที่สูงขึ้น และเงินจะย้อนกลับไปที่สโมสรมากกว่าที่จะได้รับหากปล่อยนักเตะไปตั้งแต่ซัมเมอร์ที่ผ่านมา

คู่แข่งของอาแจ็กซ์ในรอบ 16 ทีมคือทีมเจ้าของแชมป์มากที่สุดของรายการยุโรปอย่างรีล มาดริด ในสภาพที่ราชัน ชุดขาวดูจะไม่แข็งแกร่งเหมือนที่พวกเขาเคยเป็น อาแจ็กซ์สามารถคาดหวังได้ว่าพวกเขาจะทำผลงานที่ดีได้เหมือนที่สร้างความลำบากให้กับแชมป์บุนเดสลีก้าทั้งในนัดเยือนที่เสมอ 1-1 และนัดเหย้าที่เสมอกัน 3-3

แต่ถ้าถามว่าจะผ่านรีล มาดริดได้ไหม คำตอบคง “เป็นไปได้ยาก”

แข้งดาวรุ่งของอาแจ็กซ์ได้แสดงให้เห็นความสามารถเกินระดับอายุของตัวพวกเขา ส่วนหนึ่งมันเกิดจากการที่ได้เล่นกันอย่างต่อเนื่องในเกมระดับสูงต่อจากฤดูกาลที่แล้ว กระดูกของพวกเขาแข็งขึ้นและนั่นทำให้พวกเขากล้าที่จะสู้อย่างไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีคู่แข่งที่เหนือกว่า

แต่อาแจ็กซ์อาจจะต้องทำใจว่าหลังจากจบฤดูกาลนี้ หรืออาจจะตั้งแต่ตลาดรอบสองนี้เลยก็ได้ที่พวกเขาจะต้องเสียนักเตะกำลังสำคัญออกไปจากทีม เพราะนอกจากสโมสรต้องทำธุรกิจฟุตบอลแล้ว นักเตะเองก็อยากได้เวทีที่ใหญ่ขึ้นในการสั่งสมชื่อเสียง ซึ่งนั่นก็เป็นแนวทางที่อาแจ็กซ์ยอมรับมาตั้งแต่แรกว่า พวกเขาคงไม่แคล้วที่จะต้องเดินหน้าในธุรกิจลูกหนังแบบนี้

หมดจากดาวรุ่งชุดนี้ อาแจ็กซ์ก็คงสร้างนักเตะดาวรุ่งเพิ่มขึ้นมาได้อีกมากมาย เพราะอย่างน้อยทุกคนก็รู้ดีกว่า ที่สโมสรแห่งนี้พวกเขามีโอกาสลงเล่นและต่อยอดสู่สโมสรที่อยู่เหนือขึ้นไปได้ไม่ยาก