post

เป็ป กวาดิโอล่ากับความผิดหวังในถ้วยยุโรปยักษ์เสมอ

ถ้าหากถามว่าใครคือยอดกุนซือในยุคปัจจุบัน หนึ่งชื่อที่ต้องเอ่ยขึ้นมาของแฟนบอลและเหล่านักพนันบอลชั้นเซียนคงเป็นอดีตตำนานกงอกลางของบาร์เซโลน่าอย่างเป็ป กวาดิโอล่าต้องเป็นคำตอบยอดนิยมอย่างแน่นอน ซึ่งกวาดิโอล่าถือเป็นผู้จัดการทีมที่สามารถคว้าแชมป์ลีกให้กับทุกทีมที่เคยไปไม่ว่าจะเป็นบาร์เซโลน่าเอง บาเยิร์น มิวนิคและสโมสรปัจจุบันอย่างแมนเชสเตอร์ซิตี้ แต่ทว่าฝันร้ายของเป็ปก็มีอยู่เช่นกันคือ นอกจากสมัยอยู่กับบาร์ซ่าแล้ว เขาไม่สามารถพาทีมอื่นคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้อีกเลย ไม่ว่าจะคุมทีมบาเยิร์นในยุคที่ริเบอรี่และร็อบเบนยังคงฟอร์มเก่งอยู่ หรือจะเป็นทีมเรือใบสีฟ้าในยุคที่กองกลางแข็งแกร่งและกองหน้ามากฝีมืออย่างกุน อเกวโร่ แต่สุดท้ายแล้วเขากลับไปได้ไกลเพียงแค่รอบรองชนะเลิศเท่านั้น

เป็ปกับทีมเสือใต้

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในช่วงก่อนเลือกคุมทีมเสือใต้บาเยิร์น มิวนิค เป็ป กวาดิโอล่ามีทางเลือกอีกทางคือการไปคุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนั่นเอง แต่ทว่าเขากลับปัดข้อเสนอนี้ไปในปี 2013 และการเลือกบาเยิร์นก็ทำให้เขากลายเป็นแชมป์บุนเดสลีกาถึง 3 สมัย แต่ทว่าเส้นทางในถ้วยยุโรปกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อปีแรกของเป็ปทำได้แค่เพียงเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้ายก่อนไปพ่ายให้รีล มาดริดไปด้วยผลประตูรวม 5-0 และเป็นการแพ้ครั้งแรกในสนามของมาดริด นับตั้งแต่เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม เซียนพนันทั้งหลายจึงต้องอกหักและตะลึงไปตาม ๆ กัน ก่อนที่ปีถัดมาเป็ปจะได้เจอกับทีมเก่าอย่างบาร์เซโลน่าไปด้วยสกอร์ 3 ต่อ 5 ซึ่งพวกเขาออกไปพ่ายทีมจากคาตาลันก่อนถึง 3-0 ด้วยกัน จนกระทั่งปีสุดท้ายของกวาดิโอล่าที่มิวนิค เขาพาทีมเสือใต้ไปจบลงที่รอบสี่ทีมเช่นเดิม เมื่อพ่ายให้แก่แอตแลนติโก มาดริดด้วยกฎประตูทีมเยือนหลังจากเสมอกับทีมตราหมีในสกอร์ 2-2 แต่การเสียประตูในถิ่นตัวเองทำให้พวกเขาต้องตกรอบไปอย่างน่าเจ็บใจ และต้องบอกลาทีมเสือใต้ไปหลังหมดสัญญา

ผู้นำทีมเรือใบสีฟ้า

สิ่งที่เป็ป กวาดิโอล่าเข้ามาเปลี่ยนแปลงทีมก็คือการที่เขาสามารถทำให้ทีมเรือใบสีฟ้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีแผนการเล่นที่แข็งแกร่งและเกมรุกที่ชาญฉลาดอย่างเห็นได้ชัด การนำทีมโดยเดวิน เดอ บรอยด์ทำให้เป็ปสามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้ 2 สมัยรวดในปี 2018 และ 2019 แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เรือใบสีฟ้ายังคงทำไม่ได้ก็คือการเป็นเจ้ายุโรปสักครั้งนั่นเอง และการมีเป็ปเข้ามาน่าจะทำให้เป้าหมายนี้ประสบความสำเร็จได้ในอนาคต แต่ในฤดูกาลแรกของเขากลับทำได้เพียงตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น หลังจากเสมอสโมสรโมนาโกด้วยสกอร์ 6-6 แต่ตกรอบไปด้วยกฎประตูทีมเยือน ก่อนที่สองปีต่อมาพวกเขาจะเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่ต้องตกรอบไปด้วยน้ำมือของคู่แข่งในลีกทั้งลิเวอร์พูลและท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์สอย่างน่าเจ็บใจ จนในฤดูกาล 2020 ที่ลงแข่งในสนามกลางและพวกเขาถือเป็นตัวเต็งในรายการนี้เพราะถ้วยยูฟ่า แชมปเปี้ยนส์ลีกถือเป็นความสำเร็จสุดท้ายที่กวาดิโอล่าจะครองได้ก่อนหมดฤดูกาล ทว่าเรือใบสีฟ้ากลับพลาดท่าแพ้โอลิมปิก ลียงไปในรอบอาถรรพ์ 8 ทีมสุดท้ายนั่นเอง

ความผิดหวังนี้เองที่ทำให้เป็ป กวาดิโอล่ายังคงต้องกลับไปทำการบ้านอย่างหนักเพื่อที่จะลบคำสบประมาทว่าเขาสามารถเป็นเจ้ายุโรปได้ก็ต้องเมื่อมียอดทีมอยู่ในมือเท่านั้น และด้วยสถานการณ์ที่ไม่ปกติของวงการฟุตบอลทั่วโลก จึงไม่แปลกที่ทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้จะได้เปรียบในเรื่องของจำนวนเงินทุนที่อัดฉีดเข้ามาในสโมสร แล้วการคว้าตัวนักเตะระดับสูงอาจจะเป็นทางออกเพื่อให้ทีมเรือใบสีฟ้ากลับมาโลดแล่นอย่างสง่างามอีกครั้งในฤดูกาลต่อไป

post

ให้คะแนนแลมพ์พาร์ดในการคุมทีมรักปีแรก

ถือว่าปิดฤดูกาลไปอย่างสวยงามสำหรับแฟนบอลและคนที่ถือหางเดิมพันข้างสิงโตน้ำเงินครามเชลซี ที่สามารถทำอันดับไปเล่นแชมเปียนส์ลีกลีกได้ในฤดูกาลหน้าแม้ว่าพวกเขาจะโดนห้ามซื้อขายนักเตะไปถึง 1 รอบตลาดก็ตาม แต่ด้วยฝีมือการคุมทีมของตำนานเบอร์ 8 อย่างแฟรงค์ แลพพาร์ดที่พาลูกทีมวัยผสมกลับสู่เส้นทางไปเล่นถ้วยใหญ่ในฤดูกาลหน้าได้สำเร็จในอันดับที่ 4 รวมถึงผลงานในฟุตบอลถ้วยที่เขาสามารถพาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศในรายการเก่าแก่ของประเทศอังกฤษอย่างเอฟเอ คัพ แม้จะพลาดท่าเสียทีให้ทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่างไอ้ปืนใหญ่อาร์เซนอลก็ตาม แต่โดยรวมแล้วถือว่าเป็นปีที่ไม่เลวของแลมพ์ในฐานะกุนซือหน้าใหม่คนนี้

ผลงานในพรีเมียร์ลีก

ว่ากันว่าพรีเมียร์ลีกอังกฤษถือว่าเป็นลีกฟุตบอลที่มีความหินมากที่สุดลีกหนึ่งในโลก ทั้งกับการลงแตะและเลือกข้างเดิมพัน โดยมักเต็มไปด้วยดาวดังและผู้จัดการทีมยอดฝีมืออยู่มากมาย แต่สโมสรยักษ์ใหญ่อย่างเชลซีกลับเลือกผู้จัดการทีมระดับแชมป์เปี้ยนชิพอย่างแฟรงค์ แลมพาร์ดเข้ามาคุมทีมในปี 2019/2020 ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเป็นตำนานของทีมและเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในช่วงวิกฤติศรัทธา ของสโมสรเนื่องจากการคุมทีมของนายใหญ่คนเก่าอย่างเมารีซิโอ ซาร์รี่มีความเอาแต่ใจมากจนเกินไปพร้อมกับเป็นช่วงที่ทีมไม่สามารถเสริมทัพจึงทำให้แลมพ์พาร์ดที่นิยมปั้นดาวรุ่งในทีมจึงได้รับโอกาสนี้ ซึ่งตำนานของทีมก็ไม่ได้ทำให้แฟนผิดหวังเมื่อสามารถจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 โดยเอาชนะคู่แข่งได้ถึง 20 นัดมากกว่าอันดับ 3 อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเสียอีก ซึ่งจุดอ่อนของทีมก็คือกองหลังที่ไม่แข็งแกร่งมากนักจนทำให้ทีมเสียประตูได้ง่าย แต่ข้อดีก็คือขุมกำลังเกมรุกที่เฉียบคมที่มีแทมมี่ อิบราฮัมกองหน้าตัวความหวังที่ทำประตูได้ถึง 15 ประตูด้วยกัน และส่งผลให้ทีมทำประตูในลีกได้ถึง 69 ลูกเป็นรองเพียงแค่สองทีมแรกในตารางอย่างลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้เท่านั้น

ผลงานบอลถ้วย 

เรื่องที่น่าเจ็บใจที่สุดของฤดูกาลนี้ก็คือเชลซีสามารถเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพได้ในปีแรกที่มีแลมพ์พาร์ดเข้ามาคุมแต่ทว่าเขากลับพลาดท่าแพ้อาร์เซนอลไปอย่างน่าเสียดายทั้งที่ทีมสิงห์น้ำเงินได้โอกาสขึ้นนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 5 แต่กลับมาโดนทีเด็ดจากปิแอร์ เอเมอร์ริค โอบาเมยองทำสองประตูรวดแซงเอาชนะไปได้ รวมทั้งการชิงแชมป์ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพที่ต้องแข่งกับลิเวอร์พูลคู่ปรับในประเทศ และเป็นพวกเขาที่ขึ้นนำได้ก่อนอีกครั้งแต่กลับโดนตีเสมอ แล้วไปดวลจุดโทษแพ้ให้กับหงส์แดงในท้ายที่สุด ก่อนที่ทางด้านถ้วยใบใหญ่ของยุโรปอย่างแชมเปียนส์ลีกลีก พวกเขาจะมาพ่ายให้กับบาเยิร์น มิวนิคแบบหมดลุ้นไปด้วยสกอร์รวม 7-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย และจบฤดูกาลไปแบบมือเปล่า

เป็นที่เข้าใจได้ว่าทีมของแลมพ์พาร์ดมีความเสียเปรียบโดยเฉพาะการเสียโอกาสซื้อนักเตะใหม่เข้าทีมทำให้เขามีทรัพยากรอย่างจำกัด แต่ปลายทางแล้วแลมพ์ยังมีผลงานคุมทีมที่ดีกว่าความคาดหวังของแฟนบอล เพราะทั้งประสบการณ์และตัวผู้เล่นที่ไม่แข็งแกร่งเหมือนอย่างเก่า ทว่าสิงโตน้ำเงินครามยังจบอันดับด้วยการไปเล่นฟุตบอลยุโรปและยังสามารถเข้าชิงบอลถ้วยได้อีกด้วย ทำให้ผลงานของซุปเปอร์แฟรงค์อยุ่ในระดับ 7 เต็ม 10 หรือเข้าตากรรมการนั่นเอง

post

การแข่งขันแชมเปียนส์ลีกแบบใหม่ที่อาจเปลี่ยนไปตลอดกาล

จบลงไปแล้วกับรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่ผู้ชนะตกเป็นของบาเยิร์น มิวนิค ยอดทีมจากประเทศเยอรมัน ที่สามารถเอาชนะทีมเศรษฐีอย่างปารีส แซงต์ แชร์แมงไปได้ด้วยสกอร์ 1-0 แม้ใครที่แทงสกอร์ต่ำจะผิดหวัง แต่ก็ได้รับทรัพย์ทีมแชมป์อยู่ดี ซึ่งในรายการแข่งขันนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง และมีผลตอบรับเป็นอย่างดีทำให้สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปเริ่มมีความคิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบชั่วคราวนี้ให้เป็นกติกาแบบใหม่เลยทีเดียว ซึ่งการเปลี่ยนกติกาและรูปแบบของการแข่งขันถือว่ามีอยู่เรื่อย ๆ และใช้กฎใหม่อาจจะส่งผลให้ฟุตบอลมีความสนุกมากกว่าเดิมอีกด้วย

การใช้สนามกลางเพื่อกันโรคระบาด

ด้วยความที่โรคโควิด-19 ยังคงระบาดไปทั่วทวีปยุโรปทำให้การแข่งขันฟุตบอลยังอยู่ในการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ ซึ่งงดให้แฟนเข้าชมและมีการตรวจหาไวรัสก่อนลงเล่นเสมอ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปได้ตัดสินใจจะย้ายไปลงแข่งกันในสนามที่กรุงลิสบอนของโปรตุเกสเพราะเป็นสถานที่มีความเสี่ยงต่อเชื้อต่ำ และการแข่งขันยังถือว่าผ่านไปด้วยดี โดยไม่มีผู้เล่นติดเชื้อเพิ่มเติม แม้ว่าจะยังมีเสียงวิจารณ์จากแฟนบอลทีมต่าง ๆ ที่ลงแข่งขันว่าทำให้สโมสรที่ลงแข่งขันเสียเปรียบเนื่องจากการแข่งขันตามปกติแล้ว ทุกทีมจะมีโอกาสได้ลงเล่นในสนามของตัวเองจนกว่าจะถึงรอบชิงชนะเลิศที่ลงแข่งในสนามกลางเท่านั้น เว้นแต่เจ้าของสนามจะสามารถเข้ารอบชิงได้เสียเอง แต่เนื่องด้วยโรคระบาดจึงทำให้การเตะในประเทศที่ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่า และอาจจะเป็นกฎในอนาคตด้วยเช่นกันตราบที่ไวรัสยังไม่มีวัคซีนป้องกัน

การเตะแบบแพ้คัดออก

การเล่นฟุตบอลแบบนัดเดียวจบถือเป็นการวัดใจต่อทีมที่ลงแข่งเป็นอย่างมากเพราะหากพวกเขาแพ้ จะไม่มีโอกาสแก้ตัวอีก โดยธรรมเนียมการเล่นแบบแพ้คัดออกมักจะเกิดขึ้นในบอลถ้วยประจำประเทศต่าง ๆ เช่นเอฟเอ คัพ ของประเทศอังกฤษ ซึ่งในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกปี 2020 ก็ได้นำกติกายอดนิยมกลับมาใช้ในทัวร์นาเมนต์ใหญ่อีกครั้ง โดยเริ่มตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นต้นไป และผลที่ตามมาก็คือไม่มีผลเสมอเกิดขึ้นอีกเลย รวมไปถึงทั้ง 8 ทีมต่างทำประตูกันไปกอบเป็นกำจนฝ่ายบริหารมีความรู้สึกพอใจในกฎใหม่อย่างมาก และอาจจะนำมาใช้ในอนาคตนี้เนื่องจากสีสันของฟุตบอลได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากปกติที่แต่ละทีมมักจะเล่นกันอย่างรัดกุมเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเสียประตูทีมเยือนที่นำมาคิดเพื่อเข้ารอบต่อไป จึงทำให้ฟุตบอลมีความน่าเบื่อเกินไปและกติกาแพ้คัดออกจึงเป็นทางออกที่ดีให้แก่รายการนี้

แม้การตั้งกติกาใหม่จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววันก็ตามเพราะฤดูกาล 2020 เพิ่งจบลงไป แต่แฟนบอลน่าจะรู้สึกได้ว่าการมีกีฬาให้ชมอีกทั้งปลอดภัยแก่ตัวนักเตะน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้ หลังจากฟุตบอลต้องถูกงดไปถึง 3 เดือนก่อนจะกลับมาลงแข่งใหม่ รวมถึงการเริ่มอนุญาตให้แฟนบอลเริ่มเข้าสนามได้แล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียง 30% ของสนามเท่านั้น หากว่ายูฟ่ายังมีทางออกที่ทำให้ฟุตบอลปลอดภัยรวมถึงสนุกกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในยุคโควิด-19 นี้

post

ไมเคิล โอเว่น กับแชมป์ลีกครั้งเดียวก็พอใจแล้ว

เบบี้โกลหรือไมเคิล โอเว่น ถือว่าเป็น 1 ในตำนานของทีมหงส์แดงลิเวอร์พูลที่แฟนของทีมอาจจะไม่ชอบนัก เพราะการให้สัมภาษณ์ที่ไม่ให้เกียรติทีม รวมทั้งการย้ายไปอยู่กับคู่ปรับตลอดกาลอย่างปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งทำเอาแฟนบอลและนักพนันผู้พักดีต่างหันหลังให้กับตำนานของทีมคนนี้ ซึ่งหลังจากที่โอเว่นย้ายออกจากลิเวอร์พูลไปสู่รีล มาดริดเขาก็เริ่มมีอาการบาดเจ็บรบกวนจนทำให้โชว์ได้ไม่ดีดังเก่า รวมถึงการย้ายถิ่นไปมาจนกระทั่งในปี 2010 ที่ฝันของเขาก็กลายเป็นจริงขึ้นมาก่อนสโมสรที่ปั้นเขาจนโด่งดังจะทำสำเร็จเสียอีก

การย้ายออกจากลิเวอร์พูล

ในช่วงต้นฤดูกาล 2005 ที่ผู้จัดการทีมอย่างเชอร์รา อูลิเยต์ถูกปลดออกจากทีมลิเวอร์พูล ทางไมเคิล โอเว่นก็ได้ย้ายออกจากทีมเช่นกัน โดยเบบี้โกลได้บอกลาทีมหงส์แดงไปพร้อมกับสถิติลงเล่น 297 นัดและทำประตูไปถึง 158 ลูกพร้อมกับสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่สามารถยิงครบ 100 ประตู แต่เส้นทางของโอเว่นกลับไม่เป็นไปอย่างที่หวังนัก เนื่องจากเขาลงเล่นให้กับรีล มาดริดได้เพียง 45 นัดและทำประตูได้ 16 ลูกเท่านั้นซึ่งถือว่าต่ำว่ามาตรฐานที่เขาทำได้ในพรีเมียร์ลีก หลังจากไปเล่นในประเทศสเปนได้เพียง 1 ฤดูกาล เขาก็ได้ย้ายไปอยู่ในทีมนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติของสโมสรในเวลานั้น แต่เขากลับใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ อีกทั้งยังหาช่องทางหนีจากทีมหลังจากที่สาลิกาดงตกชั้นลงไปอยู่ลีกแชมป์เปี้ยนชิพ จนแฟนบอลของทีมเสื้อขาวดำต่างพากันวิจารณ์ตัวโอเว่นอย่างหนักหน่วงที่ไม่มีความจริงใจต่อสโมสรเลยทีเดียว

เสนอตัวไปสู่แชมป์พรีเมียร์ลีก

แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์มากมายเรื่องที่เขาร่อนจดหมายเสนอตัวให้กับทีมต่าง ๆ ในพรีเมียร์ลีกก็ตามแต่ สุดท้ายแล้วกลับเป็นเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันกุนซือทีมคู่ปรับที่นักพนันต้องอ้าปากค้าง ที่เอ่ยปากชวนให้โอเว่นไปร่วมงานกับเขาที่โอลด์ แทฟฟอร์ดและไม่แปลกที่นักเตะร่างเล็กคนนี้จะตอบตกลงอย่างไม่ลังเลใจ หลังจากโอเว่นใช้เวลาอยู่เพียงปีแรก เขาก็สามารถช่วยทีมปีศาจแดงกลายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จอีกหนึ่งสมัย ซึ่งลูกยิงสำคัญของเขาในเสื้อสีแดงนี้ก็คือการทำประตูชัยในแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้จนทำให้ผีแดงเอาชนะทีมคู่ปรับอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ไปได้ 4 ต่อ 3 ก่อนจะจบฤดูกาลไปก่อนเพื่อนเพราะอาการบาดเจ็บทำให้เขาลงเล่นได้เพียง 31 แมตช์และทำประตูได้ 9 ลูกเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับทีมต้นสังกัดของเขาและคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นสมัยแรกนับตั้งแต่เป็นนักเตะเลยทีเดียว

ผ่านไปเพียงสามปีเท่านั้น ทางไมเคิล โอเว่นก็ได้ประกาศแขวนรองเท้าไปกับสโมสรสโต๊ก ซิตี้หลังจากที่สภาพร่างกายของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และอาการบาดเจ็บที่เล่นงานมาตั้งแต่สมัยอายุน้อยเริ่มส่งผลจนวิธีการเล่นของเขาเปลี่ยนไปในช่วงท้ายอาชีพของตัวเอง โดยเขายังเป็นเจ้าของสถิติซึ่งสามารถชิงประตูในแมตช์ดาร์บี้ทั้งสี่คู่นับตั้งแต่เมอร์ซีไซต์, เอล กลาซิโก้, ไทน์เวียร์และแมนเชสเตอร์ จนเรียกได้ว่าเขายังคงเป็นตำนานของฟุตบอลอังกฤษแม้ว่าแฟนทีมของหลายทีมอาจไม่ต้อนรับเขาก็ตาม

post

เลวานดอฟสกี้ จากผิดหวังเมื่อวันวานสู่แชมป์ยุโรป

ด้วยผลงานการยิงประตู 56 ลูกใน 1 ฤดูกาลทำให้ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมชายที่ชื่อว่า โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ถึงกลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมเสือใต้บาร์เยิร์น มิวนิคกลายเป็นทริปเปิ้ลแชมป์หรือผู้ชนะในสามถ้วยใหญ่ ซึ่งก็คือแชมป์บุนเดสลีกา ดีเอฟเอ โพคาล และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แต่เส้นทางของนักเตะที่ชื่อว่า เลวานดอฟสกี้ไปสู่การเป็นเจ้ายุโรปกลับไม่ง่ายนัก เนื่องจากนับตั้งแต่เขาเข้ามารวมทีมกับบาเยิร์น มิวนิค ทีมของเขากลับทำได้เพียงตกรอบก่อนชิงชนะเลิศทั้งสิ้น รวมถึงการชิงแชมป์ครั้งแรกของเขาก็ต้องอกหักด้วยน้ำมือของทีมเสือใต้เองเช่นกัน

การชิงแชมป์ครั้งแรกในทีมเสือเหลือง

ในฤดูกาล 2012/2013 ถือเป็นปีที่น่าเจ็บใจสำหรับเจอร์เก้น คล็อปป์และลูกทีม หลังจากที่พวกเขาทำผลงานได้ไม่ดีนักในบุนเดสลีกาเยอรมัน ซึ่งจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 2 พร้อมกับคะแนนที่ 66 แต้ม ซึ่งตามหลังอันดับ 1 อย่างบาเยิร์น มิวนิคถึง 25 คะแนนด้วยกันผิดกับปีก่อนที่พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ แต่ความเจ็บช้ำของพวกเขายังไม่จบลงเพียงเท่านี้ แม้ว่าตลอดปียอดดาวยิงอย่างโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้จะสามารถยิงคู่แข่งได้มากถึง 36 ประตูในทุกการแข่งขัน ทว่ามันไม่เพียงพอที่จะทำให้เขากับทีมเสือเหลืองคว้าแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรป ผิวหวังทั้งแฟนบอลและเหล่านักพนันทั้งหลาย หลังจากที่ดอร์ทมุนด์ทำผลงานได้ดีตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกด้วยการจบลงด้วยอันดับ 1 เหนือทีมเจ้าประจำอย่างรีล มาดริด ก่อนที่พวกเขาจะปราบชักเตอร์ โดเน็ทส์และมาลาก้า ก่อนจะมาเอาชนะรีล มาดริดได้อีกรอบ จนกระทั่งเข้าชิงชนะเลิศกับทีมเสือใต้คู่แข่งประจำลีกของตัวเอง แต่กลับเสียประตูในช่วงท้ายเกมจากอาร์เยน ร็อบเบนจนพ่ายไปในสกอร์ 2-1 พร้อมทิ้งแผลในใจให้กับทีมเสือเหลืองจนปัจจุบัน

การย้ายค่ายและความสำเร็จในถ้วยใบใหญ่ของเลวาน

ผ่านจากเหตุการณ์รอบชิงชนะเลิศในปี 2013 ได้เพียง 1 ปีเศษเท่านั้น ทางโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ก็ได้ย้ายฝั่งไปอยู่กับบาร์เยิร์น มิวนิคแทนหลังจากหมดสัญญากับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ การบ้าบทีมครั้งนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าของบุนเดสลีกาไปทันที เพราะอาวุธสำคัญของทีมที่พร้อมแย่งแชมป์ได้ตกมาอยู่กับทีมบาเยิร์นเสียเอง และนับตั้งแต่ปีที่เลวานดอฟสกี้ย้ายเข้ามาที่มิวนิค เขาก็ไม่เคยพลาดแชมป์ลีกอีกเลยจนถึงปัจจุบัน แต่สำหรับเส้นทางเจ้ายุโรปแล้ว พวกเขากลับคว้าน้ำเหลวเสมอ ด้วยเหตุผลที่คู่แข่งในประเทศไม่แข็งแกร่งเหมือนอย่างเคยหลังจากที่ทั้งยอดดาวยิงชาวโปแลนด์และเจอเก้น คลอปป์ย้ายออกจากทีมดอร์ทมุนด์ โดยการแข่งขันถ้วยยูซีแอลนั้นพวกเขากลับไปได้ไกลสุดแค่รอบรองชนะเลิศเท่านั้นในหลายปีต่อมา ทั้งการแพ้ให้บาร์เซโลน่าและสองทีมจากเมืองมาดริด ก่อนจะมาตกรอบ 16 ทีมด้วยน้ำมือของคลอปป์ที่ย้ายมาคุมทีมลิเวอร์พูลในปี 2018/2019 จนกระทั่งในปี 2020 ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ปกติของโลกทำให้การแข่งขันเปลี่ยนเป็นการแข่งแบบแมตช์เดี่ยวแพ้คัดออก ก่อนที่ทีมเสือใต้และเลวานดอฟสกี้จะสามารถคว้าแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปมารอบได้อีกเป็นครั้งที่ 6 หลังจากที่เอาชนะปารีส แซงต์ แชร์แมงไปได้ด้วยสกอร์ 1-0 และลบฝันร้ายของเลวานเมื่อเจ็ดปีก่อนได้สำเร็จ

จะเห็นได้ว่าความฝันของคนมักจะมาพร้อมกับความมุ่งมั่นและจังหวะชีวิตเสมอ แม้ว่าตัวเลวานดอฟสกี้จะแสดงฝีมือความเป็นกองหน้าของเขามาตั้งแต่อยู่กับทีมเสือเหลือง แต่ทว่าการย้ายทีมของเขารวมถึงการพัฒนาฝีมือตลอดเวลาของเขาทำให้เจ้าตัวประสบความสำเร็จได้ในที่สุด แม้จะอยู่ในวัย 32 ปีก็ตาม และความคมเข้าฝักที่สามารถยิงคู่แข่งได้ถึง 56 ลูกจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นเจ้ายุโรปในที่สุด

post

เดอ ลิกท์กับเส้นทางใหม่ในแชมเปี้ยนส์ลีก

มัทไธจ์ส เดอ ลิกท์ เกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 1999 เขาคือกองหลังเพียงคนเดียวที่เคยคว้ารางวัลโกลเด้นบอย         มาครอบครอง เดอ ลิกท์ มีความสูงถึง 189 ซม. เขาขึ้นมาเล่นชุดใหญ่กับอาแจ็กซ์ตั้งแต่อายุเพียง 16 ปี ก่อนจะได้รับเกียรติสวมปลอกแขนกัปตันทีมในวัยเพียง 18 ปีและเริ่มเป็นที่รู้จักเมื่อเขาพาอาแจ็กซ์ อัมเตอร์ดัมเข้าชิงยูฟ่า คัพกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แม้ผลการแข่งขันจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของทีมยักษ์จากฮอลแลนด์ก็ตาม แต่เดอ ลิกท์ก็ได้สร้างความประทับใจให้กับโชเซ่ มูรินโญ่กุนซือใหญ่ของแมนฯยูฯ ในขณะนั้นเป็นอย่างมาก และเมื่อเดอ ลิกท์พาอาแจ็กซ์ อัมส์เตอร์ดัมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ในฤดูกาลถัดมา และพาทีมเข้ารอบ 4 ทีมในแชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งผลงานครั้งนี้ได้ทำให้เขากลายเป็นกองหลังเนื้อหอมแห่งยุค ที่ตอบทุกข้อกังขาของเหล่าแฟนบอลและเซียนพนันอย่างไม่มีข้อสงสัยใด ๆ

กองหลังเนื้อหอมแห่งยุค

มัทไธจ์ส เดอ ลิกท์กลายเป็นกองหลังที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดทันที ไม่มีสโมสรชั้นนำใดไม่ยื่นข้อเสนอเข้ามาให้เขาพิจารณา โดยเต็งหนึ่งในเวลานั้นคือ บาร์เซโลน่า สโมสรซึ่งเป็นขวัญใจในวัยเด็กของเดอ ลิกท์ และก่อนหน้านั้นบาร์เซโลน่าก็เพิ่งคว้าตัวแฟรงกี้ เดอ ยองดาวรุ่งอีกรายหนึ่ง เพื่อนร่วมทีมอาแจ็กซ์และทีมชาติ เดอ ยองคือเพื่อนสนิทที่สุดของเขาไปร่วมทัพ ก่อนหน้านี้ แต่เมื่อมิโน่ไรโอล่าเอเยนต์คนดังพิจารณาจากข้อเสนอจากหลาย ๆ ทีมแล้ว กลับเห็นว่ามีสโมสรอื่นที่มีข้อเสนอที่ดีและเหมาะสมกับเขามากกว่า สุดท้ายเขาก็เลือกย้ายไปสโมสรยูเวนตุสยักษ์ใหญ่ในอิตาลี ทีมที่เขาเคยโหม่งทำประตูในแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลก่อน ส่งให้ทีมดังอิตาลีตกรอบไปด้วยกฎอเวย์โกล์

เดอ ลิกท์ในสีเสื้อของยูเวนตุส

ยูเวนตุส มีคู่กองหลังตัวกลางที่แข็งแกร่งอย่างมากในระดับโลก อย่าง เลอันโดร โบนุชชี่ และจอร์โจ้ คิเอลลินี่ การที่เดอ ลิกท์ จะสอดแทรกขึ้นแทน 1 ใน 2 กองหลังตัวจริงดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่นับเป็นโชคดีของเดอ ลิกท์ที่จอร์โจ้ คิเอลลินี่กองหลังกัปตันทีมคนสำคัญวัย 34 ต้องบาดเจ็บและพักยาว ทำให้โอกาสของเขามาถึงเร็วกว่าที่คิด

ยูเวนตุสในแชมเปี้ยนส์ลีก

ยูเวนตุสคือสโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในเวทีกัลโช่ เซเรีย อาในอิตาลีแต่สำหรับในเวทียุโรปแล้วพวกเขากลับคว้าถ้วยบิ๊กเอียร์มาเชยชมได้เพียง 2 ครั้ง พวกเขาต้องพ่ายแพ้ในการเข้าชิงถึง 5 ครั้งหลังสุดทั้งหมด การที่สโมสรสามารถประกาศศักดาโดยการดึงคริสเตียโน่ โรนัลโด้มาร่วมทัพได้มาร่วมทัพในฤดูกาลก่อน รวมถึงการดึงนักเตะชั้นนำมามากมาย ซึ่งเดอ ลิกท์เองก็เป็นหนึ่งในนักเตะความหวังเหล่านั้นเช่น แม้ว่าฟอร์มจะเล่นในฤดูกาลนี้ของพวกเขาจะไม่หวือหวาเหมือนในหลายฤดูกาลที่ผ่านมา พวกเขาก็ยังเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่องและไม่พ่ายแพ้ต่อใครเลยตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา เรียกได้ว่าสร้างรายรับเป็นบวกให้กับนักพนันทุกคนที่ถือหางเจ้าม้าลายนี้ ถึงแม้เส้นทางยังอีกยาวไกล แต่คงไม่มีใครกาชื่อยูเวนตุสต้นสังกัดใหม่ของเดอ ลิกท์ ออกไปก่อนอย่างแน่นอน

post

บ่อนรับพนันลดราคาเด้งโซลชาอัลเลกรีเต็งเสียบแทน

แล็กโบรกส์หนึ่งในบริษัทรับพนันถูกกฎหมายชื่อดังในประเทศอังกฤษปรับลดราคาต่อรอง การถูกปลดออกจากตำแหน่งกุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของโอเล่กุนนาร์โซลชาร์ ลงอย่างฮวบฮาบ ด้วยอัตรา 2-1 (แทง 1 จ่าย 2 ไม่รวมทุน) หากกุนซือเบบี้เฟซชาวนอวีเจี้ยน ถูกไล่ออกก่อนหมดฤดูกาลนี้ หลังจากฟอร์มแมนฯยูไนเต็ด ไม่เพียงแต่ไม่กระเตื้อง แต่ยังมีทีท่าดิ่งลงเหวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนนึงมาจากปัญหานักเตะหลักของทีมหลายคนบาดเจ็บพร้อมกัน โดยนัดล่าสุดปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดออกไปพ่ายให้แก่นิวคาสเซิลที่สนามเซนต์ เจมส์ ปาร์คด้วยสกอร์ 1-0 ซึ่งทีมเล่นได้อย่างย้ำแย่ ทำให้แมนฯยูฯของโซลชาอยู่อันดับที่ 12 ในตอนนี้ห่างจากเลสเตอร์ ซิตี้ทีมอันดับ 4 อยู่ 5 แต้ม แต่ห่างจากทีมในโซนตกชั้นอย่างเอฟเวอร์ตันอยู่เพียง 2 แต้มเท่านั้น

ปัญหาที่ยังไม่รู้จบของปีศาจแดง

โซลชาต้องรับผิดชอบกับผลงานอันตกต่ำของทีมในฐานะที่เขาคือกุนซือใหญ่แห่งถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ดก็จริง แต่สิ่งที่เป็นปัญหาที่แท้จริงของทีมอาจจะไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ซึ่งบางทีแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็อาจจะต้องการผู้อำนวยการฟุตบอล เหมือนที่ทุกสโมสรชั้นนำต่างมีผู้มีความรู้และประสบการณ์เรื่องฟุตบอลอย่างแท้จริงมาร่วมสร้างทีม แม้ว่าในฤดูกาลนี้นักเตะที่แมนยูดึงเข้ามาร่วมทีมอย่างดาเนียล เจมส์, วานบิสซาก้าและแฮร์รี่ แม็คไกวร์ ต่างทำผลงานส่วนตัวกันได้อย่างยอดเยี่ยม แต่การที่ทีมขายกองหน้าอย่างโลเมลู ลูกากู และปล่อยอเล็กซิส ซานเชซให้สโมสรอินเตอร์ มิลานยืมโดยไม่ดึงแนวรุกเข้ามาเพิ่ม นั่นทำให้ในตอนนี้แมนฯยูฯแทบไม่เหลือกองหน้าส่งลงสนามเลยเมื่อมาร์คัส แรชฟอร์ดหรืออ็องตัวนี่ มาร์กซิยาลกองหน้าตัวหลักของทีมบาดเจ็บเช่นในปัจจุบัน

การปรับปรุงทีมอย่างเร่งด่วน

การที่บอร์ดบริหารของแมนฯยูจะต้องมองเรื่องการซื้อนักเตะใหม่และการหากุนซือใหม่ไปพร้อมกันเป็นเรื่องที่ไม่เห็นกันบ่อยนัก บริษัทรับพนันถูกกฎหมายยกให้เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่กุนซือคนปัจจุบันของสเปอร์ที่ดูจะมีปัญหากับบอร์ดบริหารเช่นกัน เป็นเต็งหนึ่งที่จะมาคุมทีมปีศาจแดง หรือเต็งสองอย่างมัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรีอดีตกุนซือคนเก่งของยูเวนตุสที่กำลังว่างงานอยู่ก็อีกเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างมาก สำหรับนักเตะชื่อดังที่เป็นข่าวกับทีม ก็มีทั้งคนเดิมอย่างบรูโน่ แฟร์น็องเดซที่มีข่าวกับทีมมาตลอด, อีวาน ราคิติชซึ่งตกเป็นเพียงตัวสำรองกับบาร์เซโลน่า และแนวรุกอย่างเปาโล ดิบาล่าที่อนาคตยังไม่แน่ชัดกับม้าลายยูเวนตุสรวมถึงกองหน้าอย่างมุสซ่า เดมเบเล่จากโอลิมปิก ลียง ซึ่งพร้อมจะเข้ามาแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแนวรุกในปัจจุบัน

ฤดูกาลที่จ่ายค่าเหนื่อยสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร

ดูเหมือนฝันร้ายของแมนยูไนเต็ดจะไม่ได้มีเพียงผลงานในสนามเท่านั้น ถึงแม้พวกเขาจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทีมที่ร่ำรวยและมีแฟนบอลมากอันดับต้น ๆ ของโลกแต่การต้องจ่ายค่าเหนื่อยถึง 306 ล้านยูโรต่อปี โดยเป็นรองแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่จ่ายค่าเหนื่อย 334 ล้านยูโร แต่ผลงานกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเลสเตอร์ ซิตี้ทีมอันดับสี่ของเวทีพรีเมียร์ลีกในปัจจุบันที่ที่จ่ายค่าเหนื่อยนักเตะเพียง 132 ล้านยูโรต่อปีน้อยกว่าเกือบ 3 เท่าที่แมนฯยูไนเต็ดจ่ายค่าเหนื่อยให้กับนักเตะในปัจจุบันเสียอีก หากนับรวมทุกสโมสรในยุโรปแล้ว แมนฯยูไนเต็ดจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะเป็นอันดับ 4 ในสโมสรของยุโรปโดยเป็นรองแมนเชสเตอร์ ซิตี้, บาร์เซโลนาและเรอัล มาดริด การปลดโอเล่กุนนาร์โซลชาร์จึงอาจจะไม่ใช่การแก้ปัญหาทั้งหมดและทำให้ทีมกลับมาบินสูงอีกครั้ง

post

อาแจ็กซ์จะกลับมาฟอร์มเทพได้อีกมั้ย?

สโมสรอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ก่อตั้งเมื่อ 18 มีนาคม 1900 พวกเขาคือหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในเอดิวิชี่ ลีกฟุตบอลสูงสุดของประเทศเนเธอร์แลนด์หรือฮอลแลนด์ พวกเขาเป็นเจ้าของสนามโยฮัน ครัฟฟ์อารีน่าซึ่งเปลี่ยนจากชื่อเดิมคือ “เดเมียร์” เพื่อเป็นเกียรติแก่อดีตตำนานนักเตะอาแจ็กซ์และทีมชาติฮอลแลนด์ผู้ล่วงลับไปแล้ว สามารถจุผู้ชมได้ 55,000 คน อาแจ็กซ์คว้าแชมป์เอดิวิชี่ลีกสูงสุดฮอลแลนด์ได้ถึง 34 สมัย แชมป์เคเอ็นเวบีคัพหรือฟุตบอลถ้วยของฮอลแลนด์อีก 19 สมัย ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของฮอลแลนด์ทั้ง 2 รายการ และแชมป์ถ้วยใหญ่สุดของยุโรปคือแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพหรือยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในชื่อปัจจุบันถึง 4 สมัย

อาแจ็กซ์กับผลงานในยุโรป

อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัมหรือฉายาอย่างเป็นทางการ คือลูกของพระเจ้า หรือลัคกี้อาแจ็กซ์ จากผลงานในเวทียุโรปของสโมสรในหลายฤดูกาลหลังดูเหมือนเขาจะไม่มีโชคเอาเสียเลยปี 2017 พวกเขาได้เข้าชิงฟุตบอลยูโรป้าคัพพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทีมที่เพียบพร้อมกว่า พวกเขาภายใต้การนำทีมของโชเซ่มูรินโญ่กุนซือชื่อดังแห่งยุคและผลการแข่งขันก็ไม่ได้ผิดจากที่คาดหมายแต่อย่างใด พวกเขาต้องพ่ายแพ้ต่อทีมปีศาจแดงจากอังกฤษไป 2-0 ตามที่นักพนันได้ลงเดิมพันเอาไว้อย่างมั่นใจ อย่างไรก็ดีในฤดูกาลที่ผ่านมาพวกเขากลายเป็นทีมม้ามืดอย่างแท้จริง เมื่อสร้างเซอร์ไพรส์โดยการล้มทีมเต็งแชมป์อย่างเรอัล มาดริด และยูเวนตุสซึ่งมีคริสเตียโน่ โรนัลโด้อยู่ในทีมด้วย เรียกได้ว่าบอลรองในครั้งนี้กลับทำให้นักพนันร่ำรวยกันในเฉพาะบางกลุ่มที่อยากลองของ แต่ในรอบรองชนะเลิศพวกเขาต้องตกรอบด้วยน้ำมือของท็อตแน่ม ฮ็อทเสปอร์จากแฮตทริกของลูคัสปีกของทีมตราไก่ตกรอบไปอย่างชอกช้ำ

เริ่มต้นฤดูกาลใหม่โดยไม่มีแฟรงกี้ เดอยองและมัทไธจ์ เดอ ลิกส์

การที่ต้องเสีย 2 นักเตะที่ดีที่สุดของทีมอย่างแฟรงกี้ เดอยองให้บาร์เซโลนาและมัทไธจ์ เดอ ลิกส์กองหลังกัปตันทีมให้กับยูเวนตุส ถึงแม้ทีมจะได้เงินมากว่า 150 ล้านยูโร แต่ทว่าลีกฮอลแลนด์ของพวกเขาไม่ใช่แรงดึงดูดซุปเปอร์สตาร์นักเตะรายใดและนี่ก็ไม่ใช่แนวทางการสร้างทีมเพื่อสร้างทีมของพวกเขาแม้ทีมจะตกรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปียนลีก แต่พวกเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เมื่อสามารถพลิกแซงพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่นกลับมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดฮอลแลนด์ได้อีกครั้ง และรวมถึงในศึกเคเอ็นวีบีคัพฟุตบอลถ้วยของฮอลแลนด์ อาแจ็กซ์ก็ถล่มวิลเล็มII ไปเละเทะถึง 4-0 ในรอบชิง

เป้าหมายและความคาดหวังในฤดูกาลนี้

อาแจ็กซ์ถือว่าโชคดีที่สามารถรักษาเอริค เทน ฮากกุนซือคนเก่งของพวกเขาเอาไว้ได้และในฤดูกาลที่ยากลำบากนี้คงเป็นการพิสูจน์ฝีมือของเทน ฮาก ให้แฟนบอลได้เห็นอีกครั้งว่าเขาคือของจริงหรือของปลอม อย่างไรก็ดีทีมม้ามืดอย่างอาแจ็กซ์ มักจะไม่ค่อยเป็นที่ถูกจับตามอง และในฤดูกาลนี้คงไม่มีใครคาดหวังว่าพวกเขาจะไปได้ไกลในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกเหมือนฤดูกาลก่อน ลำพังแค่เอาตัวรอดจากรอบแบ่งกลุ่มเพื่อเข้ารอบ 2 ก็ไม่ง่ายเสียแล้ว เมื่ออาแจ็กซ์ต้องอยู่ในกลุ่มเดียวกับ2 ทีมใหญ่อย่างเชลซี, บาเลนเซียและลีลล์ทีมแกร่งจากฝรั่งเศส แต่เมื่อผ่านการแข่งขันไป 2 นัด อาแจ็กซ์สามารถยึดจ่าฝูงของกลุ่มเอาไว้ได้ด้วยการเก็บชัยชนะ 2 นัดรวดเหนือลีลล์และบาเลนเซียด้วยสกอร์ 3-0 เท่ากันทั้ง 2 นัด โดยพวกเขายิงได้ถึง 6 ประตูและไม่เสียเลยแม้แต่ประตูเดียว ทีมลูกเทพจากเมืองอัมสเตอร์ดัมอาจจะเป็นม้ามืดในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลนี้อีกครั้ง

post

ลิเวอร์พูลผงาดขึ้นเป็นเต็งแชมป์พรีเมียร์ลีกเต็มตัว

บริษัทรับพนันถูกกฎหมายในประเทศอังกฤษได้ลดอัตราการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 19 ของลิเวอร์พูลแบบเดี่ยว ๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี หลังจากที่ทีมหงส์แดงโชว์ฟอร์มร้อนแรงเก็บชัยชนะรวดครบทุกนัดตั้งแต่เปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก ในขณะที่คู่แข่งโดยตรงอย่างทีมเรือใบสีฟ้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้กลับต้องประสบกับความพ่ายแพ้อย่างไม่คาดหมายถึง 2 นัด เวลาในการรอคอยแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปีกำลังจะจบลงแล้ว

เซอร์ไพรส์ไม่สอยสตาร์ร่วมทัพ

ในบรรดากลุ่มบิ๊กซิกมีเพียงเชลซีที่ติดโทษแบนการซื้อขายนักเตะเยาวชนผิดกฎจากฟีฟ่าจนหมดสิทธิ์เสริมทัพ นอกจากเชลซีแล้วไม่ว่าจะเป็น 2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์หรือ 2 ทีม จากกรุงลอนดอนอย่างอาร์เซนอลและท็อตแน่มฮ็อทสเปอร์ต่างทุ่มเงินกันกว่าทีมละหลักร้อยล้านปอนด์เพื่อทำการเสริมทัพนักเตะ แม้แต่เอฟเวอร์ตันทีมร่วมเมืองลิเวอร์พูลก็ยังทุ่มเงินกว่า 100 ล้านปอนด์เสริมทัพในฤดูกาลนี้ แต่ลิเวอร์พูลกลับควักกระเป๋าไม่ถึง 2 ล้านปอนด์ เพื่อคว้านักเตะอย่างเซปป์ ฟาน โดน เบิร์ก, ฮาร์วี่ เอลเลียต 2 นักเตะดาวรุ่ง และเอเดรียน นายทวารประสบการณ์สูงชาวสเปนจากสโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ดเพื่อเข้ามานั่งสำรองแทนซิมง มิโญเล่ต์ที่ย้ายออกไปเท่านั้น ทั้งนี้เจอร์เก้น คล็อปป์โค้ชคนเก่งของทีมได้ให้เหตุผลว่าเขามั่นใจในทีมชุดที่มีอยู่แต่มันก็สร้างความแปลกใจและกังวลใจให้กับเหล่าแฟนบอลเดอะค็อปไม่น้อย

ฟอร์มดีมีโชค

แชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกปีล่าสุดในฤดูกาลนี้พวกเขาดูจะมีความมั่นใจมากกว่าในปีก่อนมากนักเตะดูมีประสบการณ์และเล่นกันเป็นทีมมากขึ้น แม้จะเริ่มต้นอย่างโชคร้ายที่อลิสซง เบ็คเกอร์นายทวารคนเก่งของทีมและทีมชาติบราซิล ต้องบาดเจ็บตั้งแต่นัดแรกของฤดูกาล แต่เอเดรียน ผู้รักษาประตูประสบการณ์สูงที่ดึงมาจากเวสต์แฮม ทำหน้าที่ทดแทนได้ดีพอสมควรโดยเฉพาะการเซฟจุดโทษในศึกซุปเปอร์คัพนัดชิงกับเชลซีพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ได้ในที่สุดอย่างไรก็ดีต้องยอมรับว่าลิเวอร์พูลก็มีโชคอยู่ไม่น้อย หรืออาจจะด้วยสปิริตแรงกล้าของทีม ทำให้ทีมมักจะได้ประตูในช่วงท้ายเกมอยู่บ่อย ๆ และทำให้เขาบินสูงเหนือใครในฤดูกาลนี้

ปลายทางแห่งความสำเร็จที่ยังยาวไกล

ไม่มีสโมสรใดที่จะออกสตาร์ทได้ดีกว่านี้อีกแล้วพวกเขาเก็บชัยชนะได้ถึง 8 นัดรวดและทำคะแนนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ทีมอันดับ 2 ถึง 6 คะแนน ไม่มีสโมสรใดในลีกชั้นนำของยุโรปสามารถทำได้ดีกว่าพวกเขาอีกแล้วในฤดูกาลนี้นี่มันคือการออกสตาร์ทในฝันชัด ๆ แต่เส้นทางในอีก 30 นัดที่ยังรอพวกเขาอยู่ สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ไปได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาพวกเขาเคยแมนเชสเตอร์ ซิตี้มาแล้วถึง 10 คะแนน ก่อนที่จะขาดเพียง 1 คะแนน จบด้วยอันดับรองแชมป์ลูกค้าเราแนะนำมาอย่างน่าเจ็บช้ำ นี่จะเป็นโอกาสแก้ตัวของลิเวอร์พูลอีกครั้ง และเชื่อว่าพวกเขาจะทำได้ดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน

post

นอริช ซิตี้เจ้านกขมิ้นบินไม่ขึ้น

สโมสรนอริช ซิตี้หรือฉายา “นกขมิ้นสีเหลืองอ่อน” ทีมน้องใหม่พรีเมียร์ลีก เริ่มจะบินไม่ขึ้นเสียแล้ว หลังจากทำท่าว่าจะไปได้ดีในตอนแรก ด้วยเกมรุกที่ดุดันและหัวหอกฟอร์มฮอตอย่างตีโม ปุ้กกี้แต่ในตอนนี้พวกเขาอาจจะต้องกลับสู่เป้าหมายเดิมที่วางเอาไว้ก่อนเปิดฤดูกาลเสียแล้วนั่นคือ “หนีตกชั้น”

ชื่อของตีโม ปุ้กกี้

ตีโม ปุ้กกี้กองหน้ามากประสบการณ์ทีมชาติฟินแลนด์ ผู้เคยลงเล่นให้สโมสรชาลเก้ 04 ในบุนเดสลีกาเยอรมันและกลาสโกว์ เซลติกทีมชั้นนำในสก็อตติชพรีเมียร์ลีกมาแล้วและยังลงเล่นให้ทีมชาติฟินแลนด์ไปถึง 78 นัดทำได้ 22 ประตู  ประสบการณ์และความสามารถในการยิงประตูของปุ๊กกี้ช่วยนอริช ซิตี้ได้อย่างมากมาย แมวสามารถทำได้ถึง 5 ประตูจาก 3 นัดแรก โดยเฉพาะนัดที่เปิดบ้านเอาชนะนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดไปได้ 3 ประตูต่อ 1 ปุ้กกี้คนเดียวทั้ง 3 ประตูทำแฮตทริกได้เป็นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก แม้แต่ 2 ทีมเต็งอย่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ก็ยังไม่สามารถหยุดความฮอตของปุ้กกี้เอาไว้ได้ ด้วยการยิงประตูแรกของตนเองและทีมในแอนฟิลด์สนามของลิเวอร์พูล และโดยเฉพาะทีมเรือใบสีฟ้าที่เล่นเอานักพนันหัวใจแทบวาย เพราะต้องเสียเงินเดิมพันก้อนโต เมื่อต้องพ่ายแพ้เป็นนัดแรกในฤดูกาล จากฝีเท้าของกองหน้าทีมชาติฟินแลนด์ผู้นี้ในสนามแคร์โร้ด บ้านของนอริช ซิตี้

ประสบการณ์ของทีมและฟาร์เค่

ดาเนียล ฟาร์เค่กุนซือวัย 42 ชาวเยอรมัน ผู้เคยคุมทีมสำรองของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมหัวแถวของบุนเดสลีกาเยอรมันถึงแม้ว่าประสบการณ์คุมทีมของฟาร์เค่จะมีไม่มากแต่ด้วยระบบการเล่น 4-2-3-1 ที่ฟาร์เค่ทำให้นอริช ซิตี้กลายเป็นทีมที่เล่นเกมบุกได้อย่างเร้าใจ ดุดันเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอล แต่ผลงานของนอริชในตอนนี้ออกอาการน่าเป็นห่วง เมื่อทีมต้องพ่ายแพ้ติดต่อกันถึง 3 นัด โดยที่ตีโม ปุ้กกี้กองหน้าตัวเก่งของทีมที่เคยยิงประตูจาก 3 นัดแรกได้ถึง 5 ประตู แต่ในตอนนี้เขาไม่สามารถยิงประตูได้อีกเลยเนี่ย 3 นัดหลัง โดยเฉพาะนัดสุดท้ายที่พวกเขาต้องพ่ายแพ้ต่อแอสตัน วิลล่าทีมน้องใหม่ที่เลื่อนชั้นมาพร้อมกับพวกเขาแบบเละเทะถึง 5-1 ในสนามแคร์โร โร้ด ของตนเอง

กลับสู่เป้าหมายที่วางไว้ในตอนแรกคือ”หนีตกชั้น”

ด้วยการเล่นที่ฉูดฉาด เร้าใจของทีม และฟอร์มการถล่มประตูของตีโม ปุ้กกี้ ทำให้บางทีนอริช ซิตี้อาจจะลืมเป้าหมายที่พวกเขาวางเอาไว้ตั้งแต่ในตอนแรก คือ “การอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ” และตอนนี้คงเป็นโอกาสที่ดาเนียล ฟาร์เค่ ได้พิสูจน์ฝีมือของเขา เพียงแต่เวลาที่เขามีอยู่ในตอนนี้จะเพียงพอหรือไม่? หลังจากใน 7 นัดสุดท้าย พวกเราชนะได้เพียง 1 ครั้งและแพ้ไปถึง 6 นัด นกขมิ้นบินสีเหลืองอ่อนบินไม่ขึ้นเสียแล้ว