post

โจชัว คิมมิช: มาเอสโตรแบบไดนามิก นิยามใหม่ของกองกลางอันชาญฉลาด

บทนำ

ในโลกแห่งฟุตบอลที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ผู้เล่นบางคนเปล่งประกายในฐานะสัญญาณของความเก่งกาจ ทักษะ และนวัตกรรม โจชัว คิมมิช กองกลางชาวเยอรมันที่ครองใจแฟนบอลและนักวิเคราะห์ ยืนหยัดเป็นตัวอย่างที่สำคัญของพลวัตฟุตบอลยุคใหม่นี้ ด้วยความสามารถอันโดดเด่นของเขาในการมีส่วนร่วมในตำแหน่งต่างๆ ในสนาม คิมมิชกำลังกำหนดนิยามใหม่ของบทบาทของกองกลาง และทิ้งร่องรอยไว้ในเกมที่สวยงามอย่างไม่มีวันลบเลือน ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกการเดินทางอันน่าทึ่งของโจชัว คิมมิช สำรวจความโดดเด่น สไตล์การเล่น และผลกระทบที่เขาสร้างในวงการฟุตบอล

วันแรกและความก้าวหน้า

เกิดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1995 ในเมืองร็อตไวล์ ประเทศเยอรมนี การเดินทางในวงการฟุตบอลของคิมมิชเริ่มต้นตั้งแต่อายุยังน้อย พรสวรรค์โดยธรรมชาติและการอุทิศตนอย่างไม่เปลี่ยนแปลงทำให้เขามีตำแหน่งในทีมเยาวชนของสตุ๊ตการ์ท ก่อนที่เขาจะก้าวกระโดดไปสู่ทีมชุดใหญ่ของแอร์เบ ไลป์ซิก อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาของเขาที่บาเยิร์น มิวนิค คิมมิชได้ประกาศการมาถึงบนเวทีระดับโลกอย่างแท้จริง ด้วยจรรยาบรรณในการทำงานที่ยอดเยี่ยมและความคล่องตัวที่ดึงดูดความสนใจ

เซียนด้านการปรับตัว

สิ่งที่ทำให้โจชัว คิมมิชแตกต่างคือความสามารถในการปรับตัวที่โดดเด่นของเขา โดยพื้นฐานแล้วเป็นกองกลาง คิมมิชได้เปลี่ยนไปเล่นบทบาทต่างๆ ได้อย่างราบรื่นด้วยความคล่องตัวราวกับกิ้งก่า ความสามารถของเขาในการเป็นแบ็คขวา กองหลังตัวกลาง และแม้แต่เพลย์เมกเกอร์ก็แสดงให้เห็นถึงความฉลาดและความเก่งกาจในการเล่นฟุตบอลของเขา ความสามารถในการปรับตัวนี้ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อทีมของเขาเท่านั้น แต่ยังทำให้เขาเป็นทรัพย์สินในฝันของผู้จัดการอีกด้วย

มิดฟิลด์มาเอสโตร

ความกล้าหาญของคิมมิชในตำแหน่งกองกลางคือจุดที่เขาเติบโตอย่างแท้จริง วิสัยทัศน์ การจ่ายบอลที่แม่นยำ และความสามารถในการจ่ายบอลทำให้เขาเป็นหนึ่งในกองกลางสมัยใหม่ที่เก่งที่สุด ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเกมทำให้เขาสามารถจัดระบบการเล่นจากตำแหน่งลึกและโจมตีได้อย่างเฉียบแหลม ความสามารถของคิมมิชในการควบคุมจังหวะการแข่งขันและกำหนดความลื่นไหลของการเล่น ได้รับการเปรียบเทียบกับกองกลางระดับตำนานในอดีต

ความเป็นผู้นำทั้งในและนอกสนาม

แม้ว่าเขาจะอายุยังน้อย แต่คิมมิชก็มีคุณสมบัติความเป็นผู้นำที่เหนือกว่าอายุของเขา ที่บาเยิร์น มิวนิคและทีมชาติเยอรมัน เขาแสดงให้เห็นความสามารถของเขาในการเป็นผู้นำแบบอย่าง ให้คำแนะนำเพื่อนร่วมทีม และรับผิดชอบในช่วงเวลาวิกฤติ การแสดงตนและความมุ่งมั่นของเขาผสมผสานจิตวิญญาณของผู้นำที่แท้จริง

ผลกระทบและแนวโน้มในอนาคต

อิทธิพลของโจชัว คิมมิชขยายออกไปนอกสนาม ความมุ่งมั่นของเขาในด้านการกุศลต่างๆ และความพยายามของเขาในการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมทำให้เขาเป็นที่รักของแฟนๆ ทั่วโลก ในขณะที่เขายังคงพัฒนาเกมของเขาต่อไป และมีส่วนสำคัญต่อทั้งสโมสรและประเทศ อนาคตก็ดูสดใสเป็นพิเศษสำหรับผู้มีชื่อเสียงในวงการฟุตบอลสมัยใหม่รายนี้

บทสรุป

การเดินทางของโจชัว คิมมิช เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของพลังการเปลี่ยนแปลงของการอุทิศตน ความสามารถในการปรับตัว และการแสวงหาความเป็นเลิศอย่างไม่หยุดยั้ง ความเก่งกาจที่น่าทึ่งของเขา กองกลางที่ชาญฉลาด และคุณสมบัติความเป็นผู้นำทำให้เขาเป็นสัญลักษณ์ที่แท้จริงในภูมิทัศน์ฟุตบอลร่วมสมัย ในขณะที่เขายังคงยกระดับเกมของเขาและกำหนดบทบาทของกองกลางสมัยใหม่ โลกแห่งฟุตบอลต่างก็ตั้งตารอบทที่โจชัว คิมมิชจะรับบทในมรดกของเกมที่สวยงามนี้

post

ดอร์ทมุนด์ห้ามกาชื่อพวกเขาทิ้ง

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ก่อตั้งสโมสรเมื่อ 19 ธันวาคม 1909 หรือที่แฟนบอลไทยรู้จักกันในฉายา “เสือเหลือง” แต่ฉายาของพวกเขาจริง ๆ คือ “ผึ้งน้อย” ดอร์ทมุนด์ในปัจจุบันนับได้ว่าเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จลำดับที่ 2 ในบุนเดสลีการองจากบาเยิร์น มิวนิค และเป็น 1 ใน 3 สโมสรในบุนเดสลีกาที่เคยคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกมาแล้ว โดย 2 สโมสรที่ทำได้ก่อนพวกเขาคือบาเยิร์น มิวนิคและฮัมบูร์ก เอสวี หรือที่คนไทยมักจะรู้จักในฉายาสิงห์เหนือ เสือใต้ แต่ฉายาที่สโมสรของพวกเขาตั้งจริง ๆ ของบาเยิร์น มิวนิคคือดาวแห่งแคว้นบาวาเรียหรือเดอะ เรดส์ (The Red) ซึ่งนอกจากเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จที่สุดในบุนเดสลีกาเยอรมันบาเยิร์น มิวนิคยังเป็นสโมสรที่คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกสูงสุดได้ถึง 5 สมัยมากที่สุดในเยอรมันเช่นกัน สำหรับฮัมบูร์กเอสวี แล้วพวกเขามีฉายาที่เก๋ไก๋ไม่ซ้ำใครคือ “แดร์ ไดโน” หรือเจ้าไดโนเสาร์นั่นเอง ตั้งปลุกคือเมืองท่าเมืองใหญ่ของเยอรมันทางตอนเหนือพวกเขาเคยคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพหรือยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ 1 ครั้ง (เท่ากับดอร์ทมุนด์)ในยุครุ่งเรืองด้วยชัยชนะเหนือยูเวนตุส จากประตูชัยของ เฟลิกซ์ มากัธซึ่งต่อมาได้เป็นทั้งกุนซือฮัมบูร์กและบาเยิร์น มิวนิคเช่นกัน

การสนับสนุนของแฟนบอลที่ไม่เป็นสองรองใครของดอร์ทมุนด์

หากพูดถึงความสำเร็จของดอร์ทมุนด์พวกเขาคือ อันดับสองในเยอรมันโดยไม่ต้องสงสัยไม่ว่าจะนับรายการทั้งในประเทศหรือความสำเร็จในยุโรป พวกเขายังเป็นรองบาเยิร์น มิวนิคอีกหลายช่วงตัว แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเป็นอันดับ 1 ของเยอรมันอย่างแน่นอน และบางทีพวกเขาอาจจะเป็นอันดับ 1 ของโลกด้วยซ้ำนั่นคือการสนับสนุนจากแฟนบอลในเกมส์เหย้า แฟนบอลของดอร์ทมุนด์นั้นเหนียวแน่นและมีความพิเศษอย่างมาก พวกเขาเป็นเจ้าของสถิติการขายตั๋วปีและยอดเฉลี่ยแฟนบอลไงบ้านของตนเองสูงที่สุดในโลก กว่า 60,000 ที่นั่งคือ ตัวเลขที่แฟนบอลแห่กันมาซื้อตั๋วปีของสโมสร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเชียร์ทีมรักในสนามเวสต์ฟาเลน สเตเดียมที่จุคนมากกว่า 84,000 ที่นั่ง ทำรายได้ให้พวกกับเขาอย่างมั่นคงและเป็นกอบเป็นกำที่แม้แต่ทีมใหญ่ ๆ ในยุโรปที่มีสนามที่มีความจุมากกว่าหรือประสบความสำเร็จมากกว่าพวกเขาอย่างเรอัลมาดริด, บาร์เซโลน่า, ยูเวนตุส, แมนฯยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูลก็ยังทำไม่ได้

การผสมผสานของตัวเก๋าและดาวรุ่ง

ดอร์ทมุนด์ได้นักเตะมากประสบการณ์อย่างมัทธ์ ฮุมเมิ่ลส์, มาริโอ เกิทเซ่ รวมกับสตาร์ตัวเก๋าที่มีอย่างมาร์โก รอยส์, อักเซิ่ล วิตเซล, ตอร์กาน อาซาร์และดาวรุ่งของทีมที่ใคร ๆ ก็อยากได้อย่างจอร์ดอน ซานโช่, ยูเลี่ยน บลันด์ดาวรุ่งทีมชาติเยอรมันที่เพิ่งย้ายมาร่วมทีมจากเลเวอร์คูเซ่น ด้วยศักยภาพผู้เล่นที่มีอาจจะไม่เพียงพอต่อการลุ้นทุกแชมป์ในเยอรมันและยุโรปตามที่นักพนันได้คาดการณ์เอาไว้ แต่ลูกทีมของลูเซียง ฟาร์ฟ ก็น่าจะมีติดมือสักแชมป์

กรุ๊ปออฟเดธในแชมเปี้ยนส์ลีก

เป็นอีกครั้งที่ดอร์ทมุนด์ถูกจับสลากมาอยู่ในกลุ่มแห่งความตาย และครั้งนี้พวกเขาต้องพบกับบาร์เซโลน่า, อินเตอร์มิลานและสลาเวีย ปราก ดูเหมือนว่าทีมเลือดหมูน้ำเงินจากสเปนจะเป็นทีมที่มีโอกาสในการเข้ารอบมากกว่าที่สุด ดอร์ทมุนด์น่าจะต้องตัดสินกับอินเตอร์ มิลานเจ้าของแชมป์ถ้วยนี้สามสมัยที่พึ่งได้อันโตนิโอ คอนเต้อดีตนักเตะและกุนซือจากยูเวนตุสทีมคู่ปรับมาคุมทีมเป็นปีแรก เมื่อจบการแข่งขัน 2 นัดแรก ช่วงเวลานั้นโอกาสของพวกเขาจะเริ่มมีมากกว่าทีมงูใหญ่จากอิตาลีเสียแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำได้เพียงแค่เสมอกับบาร์เซโลน่า ทีมเต็งของกลุ่มแบบไม่มีประตู แต่ก็สามารถบุกไปเอาชนะสลาเวียปรากได้สำเร็จ ขณะที่ “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลานกลับทำได้แย่กว่าเมื่ิอทำได้เพียงเปิดบ้านเสมอสลาเวียปรากก่อนบุกไปแพ้บาร์เซโลนาคัมป์ นู อย่างน่าเสียดายทั้ง ๆ ที่ทำประตูนำไปก่อน ในแมทช์ถัดไปพวกเขาจะต้องบุกไปเยือนสนามจูเซ็ปเป้ เมอัซซ่าของอินเตอร์มิลานซึ่งหากดอร์ทมุนด์สามารถเก็บชัยชนะกลับมาได้ เขาคงไม่พลาดโอกาสที่จะเข้ารอบ 2 อีกแล้ว ดอร์ทมุนด์จะกลับไปเป็นม้ามืดอีกครั้งเหมือนที่พวกเขาเคยได้เข้าชิงแบบไม่มีใครคาดหมายและความแชมป์ได้ในที่สุด ถ้าคุณกำลังจะเดิมพันทีมที่จะคว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก ไม่ควรตัดทีมนี้ออกอย่างยิ่ง

post

บาเยิร์น มิวนิคกับการทุ่มเงินครั้งประวัติศาสตร์เพื่อแชมเปียนส์ลีก?

บาเยิร์น มิวนิคสโมสรอันดับหนึ่งแห่งบุนเดสลีกา ลีกสูงสุดของเยอรมัน ผู้เป็นเจ้าของสถิติสูงสุดในการคว้าแชมป์ลีกได้ได้ถึง 29 ครั้ง และคว้าแชมป์ติดต่อกันได้ถึง 7 ครั้งใน 7 ปีล่าสุดอีกด้วย ทุบกระปุกครั้งประวัติศาสตร์ของสโมสรแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ทุ่มซื้อสตาร์ดังแถวหน้าของยุโรปเพื่อลุ้นคว้าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลนี้ให้จงได้ หลังจากคว้าแชมป์บิ๊กเอียร์ได้ครั้งสุดท้ายในปี 2012-13

การทุ่มเงินซื้อนักเตะครั้งประวัติศาสตร์

บาเยิร์น มิวนิค คือ สโมสรฟุตบอลที่สามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกาเยอรมันและแชมป์เด เอฟเบโพคาลได้มากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งนั่นดูจะไม่ใช่เป้าหมายสำคัญที่สุดลำดับแรก ๆ ของทีมใหญ่แห่งแคว้นบาบาเรียทางตอนใต้ของเยอรมันเสียแล้ว หลังสโมสรเดินหน้าทุ่มเงินดึงนักเตะชั้นนำอย่างต่อเนื่องโดยคว้าตัว “ลูอิส แฟร์น็องเดซ” กองหลังและแบ็คขวาทีมชาติฝรั่งเศส จากสโมสรแอตเลติโก มาดริด ด้วยค่าตัวแพงที่สุดเป็นสถิติสโมสรถึง 80 ล้านยูโร รวมถึงเบนจาแม็ง ปาวาร์ แบ็คซ้ายทีมชาติฝรั่งเศสเช่นกัน จากสตุ๊ตกาทท์ และทุ่มเงินมากกว่า 100 ล้านยูโร เพื่อขอซื้อเลอรอยด์ ซาเน่ ปีกทีมชาติเยอรมันจากแมนฯซิตี้ ซึ่งน่าเสียดายที่อดีตนักเตะของชาลเก้ผู้นี้ได้รับบาดเจ็บหนักไปเสียก่อน แต่ที่ฮือฮากว่าทุกคนที่กล่าวมาคือการดึงฟิลิปเป้ คูตินโญ่ เพลย์เมกเกอร์ค่าตัวแพงจากบาร์เซโลน่า ด้วยการยืมตัวพร้อมออฟชั่นซื้อขาดเป็นเงินกว่า 120 ล้านยูโร ทำให้บาเยิร์น มิวนิคกลับมาเป็นทีมที่ได้รับการจับตามองในเวทียุโรปอีกครั้ง

คำถามเกี่ยวกับนิโก้ โควัช

นิโก้ โควัช คือ กุนซือหนุ่มไฟแรง ที่มีข่าวจะถูกปลดจากทีมแทบจะทุกสัปดาห์ตั้งแต่เข้ามาคุมทีมใหญ่อย่างบาเยิร์นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ผลงานของโควัชในฤดูกาลที่ผ่านมาเกือบจะเอาตัวไม่รอด กว่าจะพาบาเยิร์น มิวนิคคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้แบบหวุดหวิด หลังจากทีมดอร์ทมุนด์คู่แข่งของเขาออกอาการแผ่วปลาย ก่อนจะคว้าแชมป์เดเอฟเบโพคาลได้ด้วยชัยชนะเหนือไลป์ซิก ที่มีศักยภาพทีมเป็นรองบาเยิร์นอยู่หลายช่วงตัวทีเดียว แต่นั้นอาจจะยังไม่เพียงพอเพราะบาเยิร์นต้องแพ้ต่อลิเวอร์พูลในบ้าน 0-2 ตกรอบแชมเปียนส์ลีกไปอย่างน่าเสียดาย แฟนบอลจึงยังตั้งคำถามถึงฝีมือในการทำทีมของโค้ชหนุ่มชาวโครเอเชียคนนี้จนถึงปัจจุบัน

แชมเปียนส์ลีกเป้าหมายแท้จริงที่เก็บอยู่ในใจ

ความสำเร็จในฟุตบอลลีกและฟุตบอลถ้วยของเยอรมัน ดูจะไม่มีความจำเป็นเลยที่สโมสรจะต้องทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงนักเตะซุปเปอร์สตาร์แถวหน้าของยุโรป มาเพื่อรักษาความสำเร็จเดิม ๆ ของสโมสรเอาไว้ เพราะด้วยทรัพยากรนักเตะที่มีอยู่ก็ยังเป็นต่อทีมคู่แข่งอยู่บานเบอะ ถึงแม้อูลี่ เฮอเนสและและคาร์ลไฮน์ รุมเมนิเก้ สองผู้บริหารคนสำคัญของสโมสรจะพูดถึงเป้าหมายในยุโรปโดยตรง แต่เชื่อได้เลยว่าบาเยิร์น มิวนิคไม่ต้องการที่จะหยุดสถิติการคว้าแชมป์บิ๊กเอียร์อยู่เพียงแค่ 5 สมัยอย่างแน่นอน

 

ลูเชี่ยน ฟาฟร์ ชายผู้พาความสวยงามของฟุตบอลกลับมายังถิ่นเสือเหลือง

หนึ่งฤดูกาลก่อนการมาของลูเชี่ยน ฟาฟร์ สโมสรฟุตบอลที่กลายเป็นทีมชั้นแนวหน้าของเยอรมันอย่างโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ในช่วงหนึ่งทศวรรษหลังอยู่ในสภาพที่ตกต่ำลง จากที่เคยได้เป็นแชมป์หรือไม่ก็รองแชมป์บุนเดสลีก้า ผ่านเข้าชิงเอเอฟเบ โพคาล ผ่านถึงรอบน็อคเอ้าท์แชมเปี้ยนส์ลีก ทีมประสบความล้มเหลวแทบทุกรายการที่ลงเล่น

สองผู้จัดการทีมทั้งปีเตอร์ บอสซ์และปีเตอร์ สโตเกอร์ไม่สามารถทำให้ซิกนัล อิดูน่า ปาร์คกลายเป็นที่น่าเกรงขามเหมือนตอนที่เจอร์เก้น คล็อปป์และโธมัส ทูเคิ่ลทำไว้ ความสวยงามของการเล่นในหลายฤดูกาลหลังหายไป พวกเขาจบได้อันดับ 4 ในลีก ฟุตบอลถ้วยในประเทศก็ถึงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ตกรอบแบ่งกลุ่มจากแชมเปี้ยนส์ ลีกและไปหยุดแค่รอบ 16 ทีมในยูโรป้า ลีก กองหน้าตัวเก่งอย่างปิแอร์ เอเมอริก-โอบาเมยองก็ถูกขายออกจากทีม แถมยังแพ้คู่แข่งอย่างบาเยิร์นยับเยิน 6-0 ทีมต้องการการเปลี่ยนแปลง และลูเชี่ยน ฟาฟร์คือคนที่ถูกเลือก

ผู้จัดการทีมชาวสวิสเซอร์แลนด์ถูกดึงตัวจากนีซ สโมสรในฝรั่งเศส ผลงานที่นีซของฟาฟร์นั้นโดดเด่นมาก แม้ไม่สามารถพานีซ ทีมระดับกลางๆ เป็นแชมป์ แต่ก็จบสูงถึงอันดับ 3 จุดแข็งของฟาฟร์คือการที่เขาทำให้นักเตะฟอร์มดีขึ้นมาได้ หนึ่งคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวแสบอย่างมาริโอ บาโลเตลลี่ที่ฟอร์มดร็อปสวนทางกับความยุ่งเหยิงนอกสนามกลายมาเป็นผู้เล่นที่ทำทุกอย่างให้สโมสรได้อย่างยอดเยี่ยม เท่านั้นไม่พอ นักเตะไร้ชื่อเสียงอย่างฌอง-มิเชล เซรี, อาเลสซาเน่ เปลอา หรือไวแลน ซีเปรียง ต่างสามารถเล่นกันได้อย่างสุดยอด อาจจะยอดที่สุดตลอดชีวิตการค้าแข้งของพวกเขา ทำให้ดอร์ทมุนด์เล็งเห็นความสามารถในการปั้นนักเตะชื่อเสียงไม่ดังให้กลายเป็นดาวได้

ที่ดอร์ทมุนด์ในฤดูกาลนี้ มาร์โก้ รอยซ์ กองกลางกัปตันทีมทำผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตได้อย่างน่าประทับใจ เช่นเดียวกับกองหน้าที่ยืมตัวมาแบบคนไร้ชื่อเสียงอย่างปาโก้ อัลกาเซอร์ก็กลายเป็นดาวยิงฟอร์มแรง นี่คือสิ่งที่ฟาฟร์ทำให้ดอร์ทมุนด์กลับมาเป็นทีมที่ลงเล่นแล้วดูน่าสนุก

ชื่อเสียงเรื่องปั้นนักเตะพรสวรรค์สูงให้กลายเป็นแข้งชั้นดีได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ฟาฟร์ถูกยกย่อง จาดอน ซานโช่ นักเตะหนุ่มจากอังกฤษเลือกที่จะย้ายมาหาประสบการณ์และโอกาสจากสโมสรนอกประเทศ และฟาฟร์ก็เชื่อมั่นในฝีเท้าของเด็กหนุ่ม จนส่งผลให้เขากลายเป็นดาวเด่นดวงใหม่ของบุนเดสลีก้า ซานโช่กลายเป็นผู้เล่นดาวรุ่งที่ถูกจับตามอง และถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษ

ตอนที่ฟาฟร์เข้ามาทำหน้าที่ ไม่มีใครคิดว่าเขาจะพาทีมเป็นจ่าฝูงได้ง่ายๆ เพราะที่เยอรมันนั้นใครๆ ก็ต้องนึกถึงทีมเบอร์หนึ่งอย่างบาเยิร์นก่อน แม้จะออกสตาร์ทด้วยการขึ้นเป็นจ่าฝูงตั้งแต่เกมแรก แต่เมื่อผ่านไปสี่เกมให้หลัง ดอร์ทมุนด์ก็หลุดจากจ่าฝูง พวกเขาอาจจะไม่แพ้แต่ก็สะดุดเสมอจนทีมหล่นลงมาจากตำแหน่งหัวตาราง ฟาฟร์จูนเครื่องใหม่และพาทีมกลับมาชนะด้วยการยิงประตูคู่แข่งอย่างสนุกสนาน ดอร์ทมุนด์ลงสนามอย่างมั่นใจ พวกเขาสามารถทำประตูคู่แข่งได้ทุกนัด มากบ้างน้อยบ้าง แต่แฟนบอลก็สามารถที่จะตื่นตาตื่นใจกับการสร้างโอกาสทำประตูที่ได้ลุ้นตลอด

ใครวิ่งตามเล่นข้างดอร์ทมุนด์มาเรื่อยๆ จะรู้ว่าต่อ 0.5 ลูกได้กินไม่มีพลาด

ถ้ายิงได้ก็ต้องยิง ถ้าโดนยิงก็ต้องยิงคืน เกมของฟาฟร์และดอร์ทมุนด์เป็นแบบนั้น มันคล้ายๆ ช่วงเวลาที่สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเคยทำตัวเองให้กลายเป็นทีมขวัญใจแฟนบอลในยุคก่อนหน้านี้ และเพราะการที่ฟุตบอลมีหลักการว่าใครยิงมากกว่าชนะนี่แหละที่ทำให้ดอร์ทมุนด์ของลูเชี่ยน ฟาฟร์กลายเป็นทีมที่น่าดูชม