post

ถึงตอนนี้เป็นที่รู้แล้วว่าสโมสรที่เข้าชิงชนะเลิศรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกคือลิเวอร์พูลและสเปอร์ สองตัวแทนจากพรีเมียร์ลีก ขณะเดียวกันอาร์เซน่อลและเชลซี อีก 2 ทีมจากเกาะอังกฤษก็มีโอกาสสูงที่จะเข้าชิงชนะเลิศรายการยูโรป้า ลีกด้วย เป็นอีกหนึ่งปีที่สโมสรจากอังกฤษได้ประกาศศักดาความเป็นเจ้าแห่งยุโรปอีกครั้ง เหมือนที่มันเคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว

ในช่วงก่อนที่สโมสรจากอังกฤษจะโดนแบนจากฟุตบอลรายการระดับทวีปในปี 1985 จากเหตุการณ์ที่เฮย์ เซย์ สเตเดี่ยม นัดชิงชนะเลิศที่ลิเวอร์พูลพ่ายให้ยูเวนตุสไป 1-0 เรื่องราวที่เป็นโศกนาฏกรรมจากการกระทำของแฟนบอลจนมีผู้เสียชีวิตไปถึง 39 คน ลิเวอร์พูลโดนแบน 6 ปี ขณะที่สโมสรจากอังกฤษโดนไป 5 ปี น่าเศร้าแทนเอฟเวอร์ตันที่อุตส่าห์คว้าแชมป์คัพ วินเนอร์ คัพได้ในปีเดียวกันนั้นที่อดเล่นรายการยูโรเปี้ยน คัพในฤดูกาลต่อมา

สโมสรจากอังกฤษที่ขณะนั้นถือเป็นเบอร์หนึ่งยุโรปอย่างต่อเนื่อง ผลงานความแชมป์ยุโรป 7 จาก 8 ฤดูกาลหลังสุดก่อนโดนแบน น็อตติ้งแฮม ฟอร์เรสต์, แอสตัน วิลล่าและลิเวอร์พูลตัวก่อนเหตุให้ปี 1985 ผลัดกันขึ้นมาครองจ้าวยุโรปอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อโดนแบนยกเกาะ ฟุตบอลอังกฤษก็เหมือนโดนจับแช่แข็ง ต้องใช้เวลามากถึง 10 ปีกว่าที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสันจะพาทีมกลับมาคว้าแชมป์ยุโรปได้อีกครั้ง โดยหากไม่นับการเข้าชิงของปีศาจแดงจากเกาะอังกฤษแล้ว ตลอด 20 ปีของรายการถ้วยใหญ่สุด ไม่เคยมีสโมสรจากเกาะอังกฤษทะลุถึงนัดชิงชนะเลิศได้อีกเลย

หลังการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกได้อย่างมหัศจรรย์ที่อิสตัลบูลของลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2004/2005 สโมสรจากอังกฤษเริ่มกลับมาแสดงให้เห็นถึงความเป็นทีมเบอร์ต้นๆ ของยุโรปอีกครั้งด้วยการดาหน้าเข้าชิงชนะเลิศอย่างต่อเนื่อง แม้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชลซีและลิเวอร์พูลจะทำผลงานคว้าแชมป์รวมกันได้น้อยกว่าสโมสรจากฝั่งสเปน แต่มันก็แสดงให้เห็นชัดว่าสโมสรจากอังกฤษกำลังกรีธาทัพกลับสู่การครองยุโรปอีกครั้ง

การขับเคี่ยวแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกและโควตาแชมเปี้ยนลีกของสโมสรบนลีกสูงสุดอังกฤษ ส่งผลให้ทีมจากอังกฤษกลายเป็นทีมแกร่งของศึกยุโรปในทุกๆ ปี หลายฤดูกาลต่อเนื่องที่สโมสรตัวแทนทั้ง 4 ของอังกฤษที่ผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์กันยกชุด พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นชาติที่มีลุ้นคว้าแชมป์ยุโรปทุกฤดูกาล โดยไม่ได้มีเพียงทีมเดียวหรือสองทีม แต่เป็นทุกทีมของอังกฤษสามารถไปถึงจุดสูงสุดได้หมด

ช่วงหลังการขับเคี่ยวแย่งโควตาเข้ารอบแชมเปี้ยนลีกของสโมสรจากอังกฤษเข้มข้นขึ้นมาก จากท็อปโฟร์พวกเขากลายเป็นบิ๊กซิกส์ มีถึงหกทีมที่มีศักยภาพในการคว้าตั๋วถ้วยบิ๊กเอียร์ได้ ทีมอกหักสองทีมก็แข็งแกร่งพอที่จะไปเล่นอย่างเหนือๆ ในรายการยูโรป้า ลีก ทีมที่พลาดเล่นรายการใหญ่ ไม่นับการได้แชมป์ของเชลซีกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและรองแชมป์ของลิเวอร์พูล สโมสรตัวแทนเกาะอังกฤษในถ้วยเล็กก็มักทะลุถึงรอบรองชนะเลิศอยู่ตลอด

การเปิดโอกาสให้ทีมจากแต่ละชาติได้รับโควตาเข้าเล่นฟุตบอลรายการยุโรปมากกว่าที่ผ่านๆ ส่งผลให้ทีมจากอังกฤษซึ่งมีค่าเฉลี่ยความแข็งแกร่งสูงกว่าชาติอื่นต้องโคจรมาเจอกันในรอบลึกหลายต่อหลายครั้ง เกิดเกมระหว่างสโมสรจากลีกเดียวกันในเวอร์ชั่นยุโรปอย่างต่อเนื่อง

นัดชิงแชมเปี้ยนลีกปีนี้ก็จะเป็นการเจอกันของทีมจากเกาะอังกฤษเหมือนที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเคยเบียดชนะจุดโทษเชลซีในปี 2007/2008 ยิ่งถ้าอาร์เซน่อลกับเชลซีหลุดเข้าไปชิงชนะเลิศศึกยูโรป้า ลีกด้วยแล้วล่ะก็ นี่จะเป็นฤดูกาลที่แฟนบอลจากทั่วโลกได้ประจักษ์แก่สายตาว่าพรีเมียร์ลีกอังกฤษคือลีกที่อุดมไปด้วยทีมที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินยุโรปอีกครั้ง