post

สเปอร์สกับฤดูกาลที่ต้องดีกว่าเดิมในยุคของพอช

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์เป็นหนึ่งในสโมสรดังในกรุงลอนดอน เมืองหลวงของประเทศอังกฤษ สเปอร์สเคยเป็นเจ้าของสถิติคว้าแชมป์เอฟ เอ คัพ สูงที่สุด ก่อนจะเสียสถิตินี้ให้กับอาร์เซนอลทีมคู่ปรับร่วมเมืองในปัจจุบัน โดยพวกเขา  คว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1990-91 และก่อนที่ทีมจะสามารถทำได้เพียงคว้าแชมป์ถ้วยเล็กอย่างลีกคัพได้ในอีก 2 ครั้งต่อมาในปี 1998-99, 2007-08 ซึ่งนั่นยังห่างไกลจากเป้าหมายและความคาดหวังของแฟนบอลรวมถึงบอร์ดบริหารของทีม

การบริหารและพัฒนาทีมของคนรุ่นใหม่

หลังจากดาเนี่ยล เลวี่ได้เข้ามารับตำแหน่งประธานสโมสรต่อจากเซอร์อลัน ชูการ์ เขาและกลุ่มอีนิคได้เปลี่ยนแปลงสเปอร์สไปอย่างมากมาย มีทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว ทั้งในเรื่องการของทีมและนักเตะ และแม้ว่าตลอด 30 ปีที่ผ่านมาสเปอร์สจะไม่ได้แชมป์ระดับเมเจอร์รายการใด ๆ เลยแต่สเปอร์สก็ได้ยกระดับทีมขึ้นเป็นหัวแถวในพรีเมียร์ลีกส์ได้สำเร็จ และที่สำคัญที่สุดพวกเขาได้สร้างสนาม “ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สเตเดี้ยม” ที่ทันสมัยสามารถจุแฟนบอลมากกว่า 60,000 ได้สำเร็จ

ชายชื่อ”เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่”

“พอช” เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่เป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมของฟีฟ่าในปีล่าสุดร่วมกับเจอร์เก้น คล็อปป์แล เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทั้ง ๆ ที่ในชีวิตการเป็นโค้ชของโปเช็ตติโน่ เขายังไม่เคยคว้าแชมป์ใด ๆ ได้เลยแม้แต่รายการเดียว แต่การสร้างให้สเปอร์กลายเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้อย่างมีคุณภาพ น่าตื่นตาตื่นใจ ปลุกปั้นนักเตะชั้นนำขึ้นชุดเยาวชนหลายต่อหลายคนทั้ง แฮรี่ เคน, เดเล่ อัลลี, ไคล์ วอร์คเกอร์(ย้ายไปแมนฯซิตี้) และการพาทีมเข้าชิงยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกฤดูกาลที่ผ่านมาโดย ที่ไม่ซื้อนักเตะเพิ่มเลยแม้แต่คนเดียว ได้พิสูจน์ความสามารถในการทำทีมที่เขาได้เป็นอย่างดี

แชมป์แรกของพอช? กับความสำเร็จของสเปอร์ส

อย่างไรก็ดีในปีนี้สเปอร์สของพอชได้ทุ่มเงินแตะหลัก 100 ล้านปอนด์เพื่อแลกนักเตะชั้นนำมาร่วมทีม อย่างต็องกี เอ็นดองเบลเล่ กองกลางทีมชาติฝรั่งเศสจากสโมสรลียง ที่ย้ายมาด้วยค่าตัวสถิติสโมสรกว่า 60 ล้านปอนด์, โจวานนี่ โล เซลโซ มิดฟิลด์ทีมชาติอาร์เจนตินา จากเรอัล เบติส ที่ย้ายมาด้วยสัญญายืมพร้อมออปชั่นซื้อขาด 45 ล้านปอนด์ ถึงจะเป็นการเสริมทัพที่ตรงจุด แต่สเปอร์สก็พบปัญหานักเตะหลายคนในทีมที่เริ่มอิ่มตัวกับทีม หรือใกล้หมดสัญญาอย่าง คริสเตียน อีริคเซ่น, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลล์ และยาน แฟร์ทองเก้น ทำให้ทีมยังมีผลงานที่ไม่ดีเท่าที่ควรในพรีเมียร์ลีก โดยพลาดท่าพ่ายในบ้านกับนิวคาสเซิลอย่างชนิดหักปากกาเซียน พอชจะสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร จะผ่านมันไปพร้อมกับสเปอร์สได้หรือไม่ในฤดูกาลที่เขาไม่สามารถหาคำแก้ตัวได้อีกแล้ว

 

post

ปีศาจแดงยุคใหม่กับโซลชา ในฐานะกุนซือ

หลังจากเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันรีไทร์จากเก้าอี้กุนซือ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปี 2012-13 ดูเหมือนบรมกุนซือชาวสก็อตแลนด์จะนำเอาความสำเร็จและจิตวิญญาณนักเตะติดตามไปกับเขาด้วย แมนฯยูไนเต็ดเปลี่ยนกุนซืออีกหลายต่อหลายคน ทุ่มเม็ดเงินเสริมนักเตะไปมหาศาล แต่กลับได้มาเพียงแชมป์เอฟเอคัพในปี 2015-16 และแชมป์ยูโรป้าคัพในปี 2016-17 เท่านั้น ดูเหมือนว่าช่วงเวลาอันมหัศจรรย์ที่เซอร์อเล็กซ์เคยร่ายมนตร์เอาไว้มันได้ผ่านพ้นไปเสียแล้ว

กุนซือใหม่หน้าเด็ก(เก่า)โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

กุนซือหนุ่มฉายา “เบบี้เฟซ” อย่างโซลชานับได้ว่าเป็นศิษย์ก้นกุฎิของเฟอร์กูสันอย่างแท้จริง ในสมัยที่เขาเป็นนักเตะของแมนฯยูไนเต็ด ได้สร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซเอาไว้ให้กับทีม แต่การได้รับโอกาสคุมทีมขวัญใจมหาชนอย่างแมนฯยูฯนั้น คงนำผลงานเก่า ๆ มาช่วยอะไรเขาได้ไม่มากนัก โซลชาทำผลงานได้ยอดเยี่ยมอดย่างมากในช่วงที่รับงานคุมทีมชั่วคราวเมื่อปลายฤดูกาลก่อน แต่เมื่อได้รับการแต่งตั้งถาวรผลงานของทีมก็เริ่มดิ่งลงจนพลาดการทำอันดับไปเล่นในแชมเปียนส์ลีกในที่สุด

การเสริมทัพที่ดีกับปัญหาที่ยังคงมีอยู่

ในฤดูกาลนี้แมนฯยูฯ เสริมทัพอย่างตรงจุด โดยการดึง 2 นักเตะทีมชาติอังกฤษอย่างแฮร์รี่ แม็คไกวร์ด้วยค่าตัวสถิติโลกของกองหลัง 80 ล้านปอนด์, อารอน วาน-บิสซาก้า แบ็คขวา 50 ล้านปอนด์ และแดเนี่ยล เจมส์ปีกจรวดทีมชาติเวลส์จากสวอนซี 15 ล้านปอนด์ ซึ่งทุกคนต่างทำผลงานได้ดีตั้งแต่เปิดฤดูกาล แต่นั่นยังไม่เพียงพอที่จะยกระดับของทีมกับแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ให้หมดไปได้ ไม่ว่าจะเรื่องข่าวการย้ายทีมของปอล ป็อกบานักเตะระดับโลกคนเดียวที่แมนยูมีในปัจจุบัน แนวรุกที่เต็มไปด้วยนักเตะอายุน้อยอย่างเจมส์, แรชฟอร์ด และมาร์กซิยาลที่ฟอร์มไม่ต่อเนื่อง สปิริตของทีมที่ไม่เหมือนก่อน นักเตะบางคนยังสนใจเล่นเพื่อตัวเองมากกว่าทีม บางคนเล่นเพื่อทีมแต่ฝีเท้ายังต้องพัฒนาอีกมาก คือปัญหาต่าง ๆ ที่โซลชาต้องเร่งแก้ไข

การเดิมพันมีผลต่อทั้งโซลชาและเหล่าแฟนบอล

ไม่เพียงแต่กับโซลชาเท่านั้นที่ต้องเดิมพันอนาคตของตนเอง แฟนบอลของทีมก็เช่นกัน เพราะแน่นอนว่าในต่างประเทศนั้น แฟนบอลไม่น้อยที่ชมเกมไปพร้อมกับการวางเดิมพันอย่างถูกกฎหมายด้วยทุกครั้ง ในขณะที่ฟอร์มทีมของตัวเองเป็นแบบนี้ ครั้นจะให้ไปวางเดิมพันตรงข้ามก็ดูจะไร้ศักดิ์ศรีมาก ซึ่งตรงนี้เองที่มีแฟนบอลไม่น้อยเลือกที่จะไม่วางเดิมพันเลยดีกว่า ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นงานหนักเหมือนกัน ที่โซลชาต้องเรียกศรัทธาทั้งหมดกลับมาให้ได้

เป้าหมายของบอร์ดบริหารและเวลาของโซลชา

แมนฯยูฯใช้เงินเสริมทัพไปแล้วราว 150 ล้านปอนด์ แต่พวกเขาก็ได้เงินจากการขายลูกากูกองหน้าคนเก่าของทีมมากถึง 75 ล้านปอนด์เช่นกัน และยังลดค่าใช้จ่ายบางส่วนจากการปล่อยยืมอเล็กซิส ซานเชซที่มีค่าเหนื่อยนสุดโหดอีกด้วย แมนฯยูฯจึงควรซื้อนักเตะอีกอย่างน้อย 2 ตำแหน่งให้กับทีม ตำแหน่งแรกที่ควรเสริมอย่างมากคือเพลย์เมคเกอร์ การดื้อใช้เจสซี่ ลินการ์ด นักเตะที่ไม่เคยมีส่วนร่วมในทุกประตูที่แมนฯยูฯยิงได้เลยกว่า 8 เดือนในตำแหน่งเบอร์ 10 คงถึงเวลาแล้วที่สโมสรระดับแมนยูต้องมีนักฟุตบอลที่ดีกว่านี้ กองหน้าคืออีกตำแหน่งที่ควรจะซื้อเพิ่ม เนื่องจากในปัจจุบันมีจำนวนน้อยเกินไป หลังจากดาวยิงทีมชาติเบลเยียมได้ย้ายออกไป หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากบอร์ดบริหารอย่างที่ควรจะเป็น ทีมของโซลชาก็คงลำบากที่จะพาทีมกลับไปเล่นแชมเปียนส์ลีกหรือลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกก็ตาม เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันใช้เวลาถึง 7 ปีในการพาทีมเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษสมัยแรก แต่สำหรับโซลชาแล้ว เวลาของเขาอาจมีเพียงฤดูกาลนี้เท่านั้น หรือบางทีเขาก็คือแพะของบอร์ดบริหารเหมือนกุนซือหลายคนที่ผ่านมา

 

post

กรีซมันน์กับถ้วยบิ๊กเอียร์ที่รอคอยในสีเสื้อเลือดหมู-น้ำเงิน

อ็องตวน กรีซมันน์ จอมทัพแห่งทีมชาติฝรั่งเศสผู้พา “เลส์ เบลอส์” ฝรั่งเศส คว้าแชมป์โลกครั้งล่าสุดมาแล้ว ตั้งเป้าคว้าแชมเปียนส์ลีกมาครองให้จงได้ในฤดูกาลนี้ หลังจากอกหักกับทีม “ตราหมี” แอตเลติโก มาดริดมาแล้วในการเข้าชิงถึง 2 ครั้ง 2 ครา ก่อนหน้านี้ หลังเปลี่ยนมาสวมเสื้อเบอร์ 17 ในสี “เลือดหมู-น้ำเงิน” บาร์เซโลน่าด้วยค่าตัวกว่า 120 ล้านยูโรแทนในฤดูกาลล่าสุด

การย้ายทีมในช่วงเวลาสำคัญ

กรีซมันน์ในวัย 28 ปีกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในอาชีพการเป็นนักเตะของเขา แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้แก่ “คริสเตียโน่ โรนัลโด้” ของเรอัล มาดริดอย่างเจ็บปวดในทั้ง 2 ครั้งที่ทีม “ตราหมี” ของเขาได้เข้าชิงถ้วยใบใหญ่ที่สุดของยุโรปกับเรอัล มาดริด การตัดสินใจย้ายมาร่วมทัพบาร์เซโลน่าต้นสังกัดใหม่ของเขา ที่เป็นคู่ปรับอันแท้จริงของอดีตทีมคู่แข่งร่วมเมืองอย่างเรอัล มาดริดจึงน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้แก้ตัวในสิ่งที่เคยผิดพลาดไป รวมถึงการได้ร่วมเล่นเคียงข้างนักเตะแห่งศตวรรษอย่างลิโอเนล เมสซี่ ที่เป็นการท้าทายความสามารถของเขาเป็นอย่างมาก แม้ว่าเมสซี่จะเคยได้แชมป์บิ๊กเอียร์นี้มาแล้ว 2 ครั้ง แต่การพลาดหวังในหลายปีที่ติดต่อกันที่บาร์ซ่าต้องตกรอบอย่างเจ็บช้ำ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งเมสซี่และบาร์เซโลน่าจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขามีเพื่อคว้าแชมป์รายการนี้ให้ได้ โดยมีกรีซมันน์เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของพวกเขา

ความคาดหวังจากแฟนบอลและเพื่อนร่วมทีม

ค่าตัวอันมหาศาลที่บาร์เซโลน่ายอมจ่ายเพื่อแลกกรีซมันน์มาร่วมทีม จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าหน้าที่ของเขาวิธีการอุดช่องว่างขนาดใหญ่ที่เนย์มาร์ได้ฝากเอาไว้ในตอนที่ย้ายออกไปจากถิ่นคัมป์ นู ซึ่งก่อนหน้านี้ “ฟิลลิปเป้ คูตินโญ่” เพลย์เมคเกอร์ทีมชาติบราซิลก็ยังทำไว้ไม่สำเร็จ และได้ย้ายสวนทางกับเขาไปยังบาเยิร์น มิวนิคโดยการปล่อยยืมพร้อมออปชั่นซื้อขาดทั้ง ๆ ที่เพิ่งมาปีกว่า ๆ ด้วยค่าตัวถึง 146 ล้านยูโรก็ตาม

รวมไปถึงการสร้างความมั่นใจให้กลับเหล่านักพนันที่เป็นแฟนตัวยงของทีมได้ จากการฝากความหวังไว้ที่ตัวเขาในการมาครั้งนี้ ทั้งความสำเร็จต่อทีม และชัยชนะจากการวางเดิมพันของเหล่าแฟนบอลเอง

บทสรุปแห่งความสำเร็จ

ตำแหน่งแชมป์ลา ลีการวมถึงโคปา เดลเรย์ ที่บาร์เซโลน่าคว้ามาได้รวมกันหลายครั้งในสิบปีที่ผ่านมา รวมถึงแชมป์ถ้วยสำคัญอย่างยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกคือทุกรางวัลที่กรีซมันน์ยังไม่เคยได้รับ “บาร์เซโลน่า” ของเขาในตอนนี้ยังเป็นทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะชั้นยอดพร้อมที่จะลุ้นคว้าทุก ๆ แชมป์เหมือนทุก ๆ ปีที่ผ่านมา แต่ทีมกำลังประสบปัญหาเรื่องการปรับตัวของนักเตะเก่าและใหม่ในทีมหลายคน รวมถึงผู้จัดการทีมอย่าง “เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้” ที่ได้รับคำวิจารณ์ในด้านลบจากแฟนบอลบาร์ซ่าจำนวนมาก ทั้งเรื่องสไตล์การเล่นหรือผลการแข่งขันที่ผ่านมา ซึ่งกรีซมันน์จะต้องผนึกกำลังกับเมสซี่และทุกคนในทีมเพื่อฝ่าฟันมันไปให้ได้

 

post

ลิเวอร์พูลพร้อมล้างอาถรรพ์เดินหน้าคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 19

สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งเมื่อปี 1892 เกือบหนึ่งร้อยปีต่อมา ลิเวอร์พูลคือ สโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุด ในประเทศอังกฤษ ในปี 1989-90 คือครั้งสุดท้ายที่ลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 18 ซึ่งในตอนนั้นแมนฯยูไนเต็ดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษได้เพียง 7 สมัยเท่านั้น แต่หลังจากที่ดิวิชั่นหนึ่งอังกฤษได้เปลี่ยนชื่อเรียกมาเป็นพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลกลับไม่เคยคว้าแชมป์ได้เลยตลอดระยะเวลาร่วม 30 ปี กลับกลายเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทีมคู่ปรับต่างเมืองสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกหรือดิวิชั่น 1 เดิมได้อีกถึง 13 สมัย ขึ้นเป็นทีมที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดในเมืองผู้ดีแทน  ที่ลิเวอร์พูลได้จนถึงปัจจุบันอย่างไม่น่าเชื่อ และหลังจากนั้นลิเวอร์พูลไม่เคยได้อยู่ในตำแหน่งนั้นอีกเลย จนกระทั่งเริ่มมีความหวังหลังจากได้โค้ชคนใหม่ชื่อ “เจอร์เก้น คล็อป”

เมื่อเหล่าพลพรรคหงส์แดงกลายร่างเป็นฝูงหมาป่า

หลังจากที่ลิเวอร์พูลต้องล้มเหลวกับการเริ่มต้นใหม่อยู่หลายครั้ง และทำได้เพียงเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์เพรีเมียร์ลีกเท่านั้น ลิเวอร์พูลก็กลับมาเป็นทีมที่น่าเกรงขามอีกครั้ง ด้วยสไตล์การเล่นแบบ “เกเก้น” ฟุตบอลของเจอร์เก้น คลอปป์ที่เคยทำสำเร็จที่ดอร์ทมุนด์มาแล้ว ระบบการเล่นของคล็อปป์จะเป็นการเข้ารุมเพรสซิ่งเพื่อแย่งบอลคู่แข่ง เปรียบเสมือนฝูงหมาป่าที่ล้อมเหยื่อของมันไว้ ทำให้คู่แข่งของลิเวอร์พูลครองบอลไม่ได้และมีโอกาสเสียบอลได้ตลอดเวลา การเล่นที่ทุ่มเท ดุดัน และเร้าใจได้ปลุกสปิริตของทีมที่เคยหายไปช่วงนึงได้กลับมาฟื้นคืนอีกครั้ง

นี่คือลิเวอร์พูลที่ดีที่สุดตลอดกาลทีมหนึ่ง

ลิเวอร์พูลภายใต้การคุมทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ทำสถิติสโมสรชนะรวดติดต่อกัน 12 นัดติด และไม่แพ้ใครเลยในศึกพรีเมียร์ลีกมา 21 นัดติดต่อกัน ทีมประกอบไปด้วยนักเตะระดับท็อปอย่างอลิสซง เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูมือหนึ่งทีมชาติบราซิลซึ่งเพิ่งคว้ารางวัล 3 ถุงมือทองคำได้เป็นคนแรก, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ นักเตะยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกที่กำลังจะกลายเป็นกองหลังคนแรกของลิเวอร์พูลที่มีโอกาสคว้าบัลลงดอร์ แผงกองกลางที่เล่นกันได้อย่างเข้าขา ลงตัวไม่ว่าจะจัดใครลงมาเล่นก็ตาม 3 ประสานแดนหน้าอย่างมาเน่, ซาลาร์ และฟีร์มีโน่ ที่พร้อมจะสร้างความลำบากใจให้แผงหลังทุกทีมไม่ว่าทีมใดก็ตาม

แชมป์ยุโรป 6 สมัยกลับพรีเมียร์ลีก

ลิเวอร์พูลคือแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกปีล่าสุดที่สร้างรายได้ให้เหล่านักพนันอย่างเป็นกอบเป็นกำในฤดูกาล 2018-2019 เรียกได้ว่าถือหางหงส์แดงไว้แทบไม่มีเสียเดิมพัน พวกเขาได้แชมป์ถ้วยใบใหญ่สุดในยุโรปนี้ถึง 6 สมัยมากกว่าโดยมีแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่คว้าแชมป์ได้ 3 สมัย เป็นอันดับรองลงมาเท่านั้น แต่มันอาจจะไม่เพียงพอสำหรับลิเวอร์พูลและแฟนบอลของพวกเขา เพราะ 30 ปีกับการรอคอยแชมป์ลีกสูงสุดมันยาวนานเกินไป ต้องยอมรับว่าคู่แข่งในการลุ้นแชมป์อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือทีมที่เล่นได้เข้าขั้นสมบูรณ์แบบเลยทีเดียวในปัจจุบัน ลิเวอร์พูลจึงจำเป็นต้องสร้างความผิดพลาดให้น้อยที่สุด หลังจากเมื่อฤดูกาลตามหลังแมนฯซิตี้เพียงหนึ่งแต้มเท่านั้น และในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะได้ครบทั้ง 4 นัดนำคู่ปรับร่วมลีกแมนเชสเตอร์ซิตี้ 2 คะแนน แม้ระยะทางที่ยังอีกยาวไกล แต่หากลิเวอร์พูลยังคงรักษาอันดับในตารางเอาไว้ได้ ตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกคงไม่ไกลเกินเอื้อมอีกแล้ว โอกาสเป็นของพวกเขาแล้ว