post

การแข่งขันแชมเปียนส์ลีกแบบใหม่ที่อาจเปลี่ยนไปตลอดกาล

จบลงไปแล้วกับรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่ผู้ชนะตกเป็นของบาเยิร์น มิวนิค ยอดทีมจากประเทศเยอรมัน ที่สามารถเอาชนะทีมเศรษฐีอย่างปารีส แซงต์ แชร์แมงไปได้ด้วยสกอร์ 1-0 แม้ใครที่แทงสกอร์ต่ำจะผิดหวัง แต่ก็ได้รับทรัพย์ทีมแชมป์อยู่ดี ซึ่งในรายการแข่งขันนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง และมีผลตอบรับเป็นอย่างดีทำให้สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปเริ่มมีความคิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบชั่วคราวนี้ให้เป็นกติกาแบบใหม่เลยทีเดียว ซึ่งการเปลี่ยนกติกาและรูปแบบของการแข่งขันถือว่ามีอยู่เรื่อย ๆ และใช้กฎใหม่อาจจะส่งผลให้ฟุตบอลมีความสนุกมากกว่าเดิมอีกด้วย

การใช้สนามกลางเพื่อกันโรคระบาด

ด้วยความที่โรคโควิด-19 ยังคงระบาดไปทั่วทวีปยุโรปทำให้การแข่งขันฟุตบอลยังอยู่ในการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ ซึ่งงดให้แฟนเข้าชมและมีการตรวจหาไวรัสก่อนลงเล่นเสมอ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปได้ตัดสินใจจะย้ายไปลงแข่งกันในสนามที่กรุงลิสบอนของโปรตุเกสเพราะเป็นสถานที่มีความเสี่ยงต่อเชื้อต่ำ และการแข่งขันยังถือว่าผ่านไปด้วยดี โดยไม่มีผู้เล่นติดเชื้อเพิ่มเติม แม้ว่าจะยังมีเสียงวิจารณ์จากแฟนบอลทีมต่าง ๆ ที่ลงแข่งขันว่าทำให้สโมสรที่ลงแข่งขันเสียเปรียบเนื่องจากการแข่งขันตามปกติแล้ว ทุกทีมจะมีโอกาสได้ลงเล่นในสนามของตัวเองจนกว่าจะถึงรอบชิงชนะเลิศที่ลงแข่งในสนามกลางเท่านั้น เว้นแต่เจ้าของสนามจะสามารถเข้ารอบชิงได้เสียเอง แต่เนื่องด้วยโรคระบาดจึงทำให้การเตะในประเทศที่ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่า และอาจจะเป็นกฎในอนาคตด้วยเช่นกันตราบที่ไวรัสยังไม่มีวัคซีนป้องกัน

การเตะแบบแพ้คัดออก

การเล่นฟุตบอลแบบนัดเดียวจบถือเป็นการวัดใจต่อทีมที่ลงแข่งเป็นอย่างมากเพราะหากพวกเขาแพ้ จะไม่มีโอกาสแก้ตัวอีก โดยธรรมเนียมการเล่นแบบแพ้คัดออกมักจะเกิดขึ้นในบอลถ้วยประจำประเทศต่าง ๆ เช่นเอฟเอ คัพ ของประเทศอังกฤษ ซึ่งในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกปี 2020 ก็ได้นำกติกายอดนิยมกลับมาใช้ในทัวร์นาเมนต์ใหญ่อีกครั้ง โดยเริ่มตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นต้นไป และผลที่ตามมาก็คือไม่มีผลเสมอเกิดขึ้นอีกเลย รวมไปถึงทั้ง 8 ทีมต่างทำประตูกันไปกอบเป็นกำจนฝ่ายบริหารมีความรู้สึกพอใจในกฎใหม่อย่างมาก และอาจจะนำมาใช้ในอนาคตนี้เนื่องจากสีสันของฟุตบอลได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากปกติที่แต่ละทีมมักจะเล่นกันอย่างรัดกุมเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเสียประตูทีมเยือนที่นำมาคิดเพื่อเข้ารอบต่อไป จึงทำให้ฟุตบอลมีความน่าเบื่อเกินไปและกติกาแพ้คัดออกจึงเป็นทางออกที่ดีให้แก่รายการนี้

แม้การตั้งกติกาใหม่จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววันก็ตามเพราะฤดูกาล 2020 เพิ่งจบลงไป แต่แฟนบอลน่าจะรู้สึกได้ว่าการมีกีฬาให้ชมอีกทั้งปลอดภัยแก่ตัวนักเตะน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้ หลังจากฟุตบอลต้องถูกงดไปถึง 3 เดือนก่อนจะกลับมาลงแข่งใหม่ รวมถึงการเริ่มอนุญาตให้แฟนบอลเริ่มเข้าสนามได้แล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียง 30% ของสนามเท่านั้น หากว่ายูฟ่ายังมีทางออกที่ทำให้ฟุตบอลปลอดภัยรวมถึงสนุกกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในยุคโควิด-19 นี้

post

ไมเคิล โอเว่น กับแชมป์ลีกครั้งเดียวก็พอใจแล้ว

เบบี้โกลหรือไมเคิล โอเว่น ถือว่าเป็น 1 ในตำนานของทีมหงส์แดงลิเวอร์พูลที่แฟนของทีมอาจจะไม่ชอบนัก เพราะการให้สัมภาษณ์ที่ไม่ให้เกียรติทีม รวมทั้งการย้ายไปอยู่กับคู่ปรับตลอดกาลอย่างปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งทำเอาแฟนบอลและนักพนันผู้พักดีต่างหันหลังให้กับตำนานของทีมคนนี้ ซึ่งหลังจากที่โอเว่นย้ายออกจากลิเวอร์พูลไปสู่รีล มาดริดเขาก็เริ่มมีอาการบาดเจ็บรบกวนจนทำให้โชว์ได้ไม่ดีดังเก่า รวมถึงการย้ายถิ่นไปมาจนกระทั่งในปี 2010 ที่ฝันของเขาก็กลายเป็นจริงขึ้นมาก่อนสโมสรที่ปั้นเขาจนโด่งดังจะทำสำเร็จเสียอีก

การย้ายออกจากลิเวอร์พูล

ในช่วงต้นฤดูกาล 2005 ที่ผู้จัดการทีมอย่างเชอร์รา อูลิเยต์ถูกปลดออกจากทีมลิเวอร์พูล ทางไมเคิล โอเว่นก็ได้ย้ายออกจากทีมเช่นกัน โดยเบบี้โกลได้บอกลาทีมหงส์แดงไปพร้อมกับสถิติลงเล่น 297 นัดและทำประตูไปถึง 158 ลูกพร้อมกับสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่สามารถยิงครบ 100 ประตู แต่เส้นทางของโอเว่นกลับไม่เป็นไปอย่างที่หวังนัก เนื่องจากเขาลงเล่นให้กับรีล มาดริดได้เพียง 45 นัดและทำประตูได้ 16 ลูกเท่านั้นซึ่งถือว่าต่ำว่ามาตรฐานที่เขาทำได้ในพรีเมียร์ลีก หลังจากไปเล่นในประเทศสเปนได้เพียง 1 ฤดูกาล เขาก็ได้ย้ายไปอยู่ในทีมนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติของสโมสรในเวลานั้น แต่เขากลับใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ อีกทั้งยังหาช่องทางหนีจากทีมหลังจากที่สาลิกาดงตกชั้นลงไปอยู่ลีกแชมป์เปี้ยนชิพ จนแฟนบอลของทีมเสื้อขาวดำต่างพากันวิจารณ์ตัวโอเว่นอย่างหนักหน่วงที่ไม่มีความจริงใจต่อสโมสรเลยทีเดียว

เสนอตัวไปสู่แชมป์พรีเมียร์ลีก

แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์มากมายเรื่องที่เขาร่อนจดหมายเสนอตัวให้กับทีมต่าง ๆ ในพรีเมียร์ลีกก็ตามแต่ สุดท้ายแล้วกลับเป็นเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันกุนซือทีมคู่ปรับที่นักพนันต้องอ้าปากค้าง ที่เอ่ยปากชวนให้โอเว่นไปร่วมงานกับเขาที่โอลด์ แทฟฟอร์ดและไม่แปลกที่นักเตะร่างเล็กคนนี้จะตอบตกลงอย่างไม่ลังเลใจ หลังจากโอเว่นใช้เวลาอยู่เพียงปีแรก เขาก็สามารถช่วยทีมปีศาจแดงกลายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จอีกหนึ่งสมัย ซึ่งลูกยิงสำคัญของเขาในเสื้อสีแดงนี้ก็คือการทำประตูชัยในแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้จนทำให้ผีแดงเอาชนะทีมคู่ปรับอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ไปได้ 4 ต่อ 3 ก่อนจะจบฤดูกาลไปก่อนเพื่อนเพราะอาการบาดเจ็บทำให้เขาลงเล่นได้เพียง 31 แมตช์และทำประตูได้ 9 ลูกเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับทีมต้นสังกัดของเขาและคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นสมัยแรกนับตั้งแต่เป็นนักเตะเลยทีเดียว

ผ่านไปเพียงสามปีเท่านั้น ทางไมเคิล โอเว่นก็ได้ประกาศแขวนรองเท้าไปกับสโมสรสโต๊ก ซิตี้หลังจากที่สภาพร่างกายของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และอาการบาดเจ็บที่เล่นงานมาตั้งแต่สมัยอายุน้อยเริ่มส่งผลจนวิธีการเล่นของเขาเปลี่ยนไปในช่วงท้ายอาชีพของตัวเอง โดยเขายังเป็นเจ้าของสถิติซึ่งสามารถชิงประตูในแมตช์ดาร์บี้ทั้งสี่คู่นับตั้งแต่เมอร์ซีไซต์, เอล กลาซิโก้, ไทน์เวียร์และแมนเชสเตอร์ จนเรียกได้ว่าเขายังคงเป็นตำนานของฟุตบอลอังกฤษแม้ว่าแฟนทีมของหลายทีมอาจไม่ต้อนรับเขาก็ตาม

post

เลวานดอฟสกี้ จากผิดหวังเมื่อวันวานสู่แชมป์ยุโรป

ด้วยผลงานการยิงประตู 56 ลูกใน 1 ฤดูกาลทำให้ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมชายที่ชื่อว่า โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ถึงกลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมเสือใต้บาร์เยิร์น มิวนิคกลายเป็นทริปเปิ้ลแชมป์หรือผู้ชนะในสามถ้วยใหญ่ ซึ่งก็คือแชมป์บุนเดสลีกา ดีเอฟเอ โพคาล และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แต่เส้นทางของนักเตะที่ชื่อว่า เลวานดอฟสกี้ไปสู่การเป็นเจ้ายุโรปกลับไม่ง่ายนัก เนื่องจากนับตั้งแต่เขาเข้ามารวมทีมกับบาเยิร์น มิวนิค ทีมของเขากลับทำได้เพียงตกรอบก่อนชิงชนะเลิศทั้งสิ้น รวมถึงการชิงแชมป์ครั้งแรกของเขาก็ต้องอกหักด้วยน้ำมือของทีมเสือใต้เองเช่นกัน

การชิงแชมป์ครั้งแรกในทีมเสือเหลือง

ในฤดูกาล 2012/2013 ถือเป็นปีที่น่าเจ็บใจสำหรับเจอร์เก้น คล็อปป์และลูกทีม หลังจากที่พวกเขาทำผลงานได้ไม่ดีนักในบุนเดสลีกาเยอรมัน ซึ่งจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 2 พร้อมกับคะแนนที่ 66 แต้ม ซึ่งตามหลังอันดับ 1 อย่างบาเยิร์น มิวนิคถึง 25 คะแนนด้วยกันผิดกับปีก่อนที่พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ แต่ความเจ็บช้ำของพวกเขายังไม่จบลงเพียงเท่านี้ แม้ว่าตลอดปียอดดาวยิงอย่างโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้จะสามารถยิงคู่แข่งได้มากถึง 36 ประตูในทุกการแข่งขัน ทว่ามันไม่เพียงพอที่จะทำให้เขากับทีมเสือเหลืองคว้าแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรป ผิวหวังทั้งแฟนบอลและเหล่านักพนันทั้งหลาย หลังจากที่ดอร์ทมุนด์ทำผลงานได้ดีตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกด้วยการจบลงด้วยอันดับ 1 เหนือทีมเจ้าประจำอย่างรีล มาดริด ก่อนที่พวกเขาจะปราบชักเตอร์ โดเน็ทส์และมาลาก้า ก่อนจะมาเอาชนะรีล มาดริดได้อีกรอบ จนกระทั่งเข้าชิงชนะเลิศกับทีมเสือใต้คู่แข่งประจำลีกของตัวเอง แต่กลับเสียประตูในช่วงท้ายเกมจากอาร์เยน ร็อบเบนจนพ่ายไปในสกอร์ 2-1 พร้อมทิ้งแผลในใจให้กับทีมเสือเหลืองจนปัจจุบัน

การย้ายค่ายและความสำเร็จในถ้วยใบใหญ่ของเลวาน

ผ่านจากเหตุการณ์รอบชิงชนะเลิศในปี 2013 ได้เพียง 1 ปีเศษเท่านั้น ทางโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ก็ได้ย้ายฝั่งไปอยู่กับบาร์เยิร์น มิวนิคแทนหลังจากหมดสัญญากับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ การบ้าบทีมครั้งนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าของบุนเดสลีกาไปทันที เพราะอาวุธสำคัญของทีมที่พร้อมแย่งแชมป์ได้ตกมาอยู่กับทีมบาเยิร์นเสียเอง และนับตั้งแต่ปีที่เลวานดอฟสกี้ย้ายเข้ามาที่มิวนิค เขาก็ไม่เคยพลาดแชมป์ลีกอีกเลยจนถึงปัจจุบัน แต่สำหรับเส้นทางเจ้ายุโรปแล้ว พวกเขากลับคว้าน้ำเหลวเสมอ ด้วยเหตุผลที่คู่แข่งในประเทศไม่แข็งแกร่งเหมือนอย่างเคยหลังจากที่ทั้งยอดดาวยิงชาวโปแลนด์และเจอเก้น คลอปป์ย้ายออกจากทีมดอร์ทมุนด์ โดยการแข่งขันถ้วยยูซีแอลนั้นพวกเขากลับไปได้ไกลสุดแค่รอบรองชนะเลิศเท่านั้นในหลายปีต่อมา ทั้งการแพ้ให้บาร์เซโลน่าและสองทีมจากเมืองมาดริด ก่อนจะมาตกรอบ 16 ทีมด้วยน้ำมือของคลอปป์ที่ย้ายมาคุมทีมลิเวอร์พูลในปี 2018/2019 จนกระทั่งในปี 2020 ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ปกติของโลกทำให้การแข่งขันเปลี่ยนเป็นการแข่งแบบแมตช์เดี่ยวแพ้คัดออก ก่อนที่ทีมเสือใต้และเลวานดอฟสกี้จะสามารถคว้าแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปมารอบได้อีกเป็นครั้งที่ 6 หลังจากที่เอาชนะปารีส แซงต์ แชร์แมงไปได้ด้วยสกอร์ 1-0 และลบฝันร้ายของเลวานเมื่อเจ็ดปีก่อนได้สำเร็จ

จะเห็นได้ว่าความฝันของคนมักจะมาพร้อมกับความมุ่งมั่นและจังหวะชีวิตเสมอ แม้ว่าตัวเลวานดอฟสกี้จะแสดงฝีมือความเป็นกองหน้าของเขามาตั้งแต่อยู่กับทีมเสือเหลือง แต่ทว่าการย้ายทีมของเขารวมถึงการพัฒนาฝีมือตลอดเวลาของเขาทำให้เจ้าตัวประสบความสำเร็จได้ในที่สุด แม้จะอยู่ในวัย 32 ปีก็ตาม และความคมเข้าฝักที่สามารถยิงคู่แข่งได้ถึง 56 ลูกจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นเจ้ายุโรปในที่สุด