post

มาร์ซิยาล กับตำแหน่งกองหน้าเบอร์ 9 ที่คู่ควร

สำหรับทีมที่เคยมีนักเตะอย่างแอนดี้ โคล, เวนย์ รูนี่ย์ หรือรุด ฟาน นิสเตอรอยด์ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมขุมกำลังของปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถึงดูลดความดุดันลงไป เมื่อเทียบกับทีมยุคก่อน เพราะความเฉียบคมของนักเตะเหล่านี้เองเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมพวกเขาถึงความแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 13 สมัยและดาวซัลโวในหลาย ๆ ปีที่พวกเขาแข่งขัน จนกระทั่งมาถึงในยุคปัจจุบันที่กองหน้าของทีมที่เป็นตัวหลักก็คือแอนโทนี่ มาร์ซิยาลกับมาร์คัส แรซฟอร์ดที่อาจจะโชว์ผลงานที่ยังไม่เข้าตาแฟนผีมากนัก แต่สำหรับรายแรกอาจจะเป็นเพชรในตมที่รอการเจียระไนและแสดงฝีมือที่แท้จริงเมื่อเขาได้รับโอกาสในการเล่นในตำแหน่งที่ถนัดอย่างเบอร์ 9 นั่นเอง

ดาวรุ่งชาวฝรั่งเศส

สำหรับแอนโทนี่ มาร์ซิยาลถือเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองมากคนหนึ่งเมื่อได้รับการเซ็นสัญญาย้ายจากสโมสรโมนาโกมาอยู่กับทีมปีศาจแดงในปี 2015 ด้วยมูลค่าถึง 36 ล้านปอนด์ ผ่านสายตาของหลุยส์ ฟานกัล ผู้จัดการทีมในขณะนั้น โดยเขาถือว่าทำผลงานได้ดีหลังจากที่ลงเล่นกับทีมในฤดูกาลแรกไปถึง 49 เกมและทำประตูได้ถึง 17 ประตู ซึ่งถือว่าไม่เลวเลยสำหรับนักเตะวัย 19 ปี แต่ทว่าในช่วงปีถัดมามีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้จัดการทีมและการมาของโจเซ่ มูรินโญ่และซลาตัน อิบราฮิโมวิชก็ทำให้มาร์ซิยาลหาตำแหน่งลงเล่นได้ยากมากขึ้น และมักถูกย้ายไปอยู่ริมเส้นเสียส่วนใหญ่ทำให้เขายิงประตูได้น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่ปีต่อมาจะเป็นโรมาลู ลูกากูที่ทางแมวมองซื้อมาเพื่อเป็นตัวแทนของอิบราฮิโมวิชที่ย้ายออกไปหาความท้าทายใหม่ ก็ทำให้เขากลายเป็นตัวสำรองให้กับทีมจนทำให้อนาคตของเขาถูกตั้งคำถามเป็นอย่างมากถึงการเป็นกองหน้าให้กับทีมปีศาจแดง ณ ขณะนั้น

กองหน้าเบอร์ 9 ตัวจริง

สุดท้ายแล้วโอกาสของมาร์ซิยาลก็มาถึงพร้อมกับผู้จัดการทีมที่ชื่อโอเล กุนนาร์ โซลชา ที่เป็นคนชุดเยาวชนให้กับทีมมาก่อน และพร้อมให้โอกาสเด็กปั้นของทีมต่างจากกุนซือคนอื่น ๆ ที่ต้องการความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ซึ่งเลือดปีศาจของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็เริ่มทำงานทันที เมื่อส่วนผสมของนักเตะวัยรุ่นกับวัยเก๋าทำให้ทีมผีแดงเริ่มมีทิศทางการเล่นและจิตวิญญาณที่ดีมากขึ้น รวมถึงมาร์ซิยาลที่เริ่มกลับมาเล่นในตำแหน่งกองหน้าที่ถนัดได้อีกครั้ง จากการประสานงานระหว่างเจ้าตัวกับมาร์คัส แรชฟอร์ดที่มักจะสลับตำแหน่งในการเล่นเสมอทำให้ปี 2019-2020 ซึ่งเป็นปีแรกที่โซลชาได้คุมทีมเต็มฤดูกาล ทำให้เจ้าของเบอร์ 9 ในปัจจุบันสามารถประตูไปได้ถึง 23 ลูกจากการลงเล่นเพียง 48 นัดเท่านั้น จนถือว่าเป็นกองหน้าคนสำคัญของทีมไปแล้วในเวลานี้

ด้วยวัยเพียง 24 ปีเท่านั้นทำให้แอนโทนี่ มาร์ซิยาลน่าจับตามองมาก เพราะเขามีโอกาสจะกลายเป็นนักเตะระดับโลกได้หากยังสามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่ดุดันได้อย่างฤดูกาลที่ผ่านมา แถมบรรดาเซียนพนันก็ยกให้เป็นหนึ่งในนักแตะในดวงใจ รวมถึงภาพรวมของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่นำโดยโซลชา หากว่าเขามีขุนกำลังที่แข็งแกร่งขึ้นจากนักเตะที่เป็นลูกหม้อของทีม อาจจะทำให้การกลับมาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งอาจจะไม่ใช่เรื่องเกินฝัน และกองหน้าอย่างมาร์ซิยาลอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้วันนั้นมาถึงโดยเร็วอย่างในแฟน ๆ ต้องการ

 

post

ไมเคิล โอเว่น กับแชมป์ลีกครั้งเดียวก็พอใจแล้ว

เบบี้โกลหรือไมเคิล โอเว่น ถือว่าเป็น 1 ในตำนานของทีมหงส์แดงลิเวอร์พูลที่แฟนของทีมอาจจะไม่ชอบนัก เพราะการให้สัมภาษณ์ที่ไม่ให้เกียรติทีม รวมทั้งการย้ายไปอยู่กับคู่ปรับตลอดกาลอย่างปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งทำเอาแฟนบอลและนักพนันผู้พักดีต่างหันหลังให้กับตำนานของทีมคนนี้ ซึ่งหลังจากที่โอเว่นย้ายออกจากลิเวอร์พูลไปสู่รีล มาดริดเขาก็เริ่มมีอาการบาดเจ็บรบกวนจนทำให้โชว์ได้ไม่ดีดังเก่า รวมถึงการย้ายถิ่นไปมาจนกระทั่งในปี 2010 ที่ฝันของเขาก็กลายเป็นจริงขึ้นมาก่อนสโมสรที่ปั้นเขาจนโด่งดังจะทำสำเร็จเสียอีก

การย้ายออกจากลิเวอร์พูล

ในช่วงต้นฤดูกาล 2005 ที่ผู้จัดการทีมอย่างเชอร์รา อูลิเยต์ถูกปลดออกจากทีมลิเวอร์พูล ทางไมเคิล โอเว่นก็ได้ย้ายออกจากทีมเช่นกัน โดยเบบี้โกลได้บอกลาทีมหงส์แดงไปพร้อมกับสถิติลงเล่น 297 นัดและทำประตูไปถึง 158 ลูกพร้อมกับสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่สามารถยิงครบ 100 ประตู แต่เส้นทางของโอเว่นกลับไม่เป็นไปอย่างที่หวังนัก เนื่องจากเขาลงเล่นให้กับรีล มาดริดได้เพียง 45 นัดและทำประตูได้ 16 ลูกเท่านั้นซึ่งถือว่าต่ำว่ามาตรฐานที่เขาทำได้ในพรีเมียร์ลีก หลังจากไปเล่นในประเทศสเปนได้เพียง 1 ฤดูกาล เขาก็ได้ย้ายไปอยู่ในทีมนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติของสโมสรในเวลานั้น แต่เขากลับใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ อีกทั้งยังหาช่องทางหนีจากทีมหลังจากที่สาลิกาดงตกชั้นลงไปอยู่ลีกแชมป์เปี้ยนชิพ จนแฟนบอลของทีมเสื้อขาวดำต่างพากันวิจารณ์ตัวโอเว่นอย่างหนักหน่วงที่ไม่มีความจริงใจต่อสโมสรเลยทีเดียว

เสนอตัวไปสู่แชมป์พรีเมียร์ลีก

แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์มากมายเรื่องที่เขาร่อนจดหมายเสนอตัวให้กับทีมต่าง ๆ ในพรีเมียร์ลีกก็ตามแต่ สุดท้ายแล้วกลับเป็นเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันกุนซือทีมคู่ปรับที่นักพนันต้องอ้าปากค้าง ที่เอ่ยปากชวนให้โอเว่นไปร่วมงานกับเขาที่โอลด์ แทฟฟอร์ดและไม่แปลกที่นักเตะร่างเล็กคนนี้จะตอบตกลงอย่างไม่ลังเลใจ หลังจากโอเว่นใช้เวลาอยู่เพียงปีแรก เขาก็สามารถช่วยทีมปีศาจแดงกลายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จอีกหนึ่งสมัย ซึ่งลูกยิงสำคัญของเขาในเสื้อสีแดงนี้ก็คือการทำประตูชัยในแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้จนทำให้ผีแดงเอาชนะทีมคู่ปรับอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ไปได้ 4 ต่อ 3 ก่อนจะจบฤดูกาลไปก่อนเพื่อนเพราะอาการบาดเจ็บทำให้เขาลงเล่นได้เพียง 31 แมตช์และทำประตูได้ 9 ลูกเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับทีมต้นสังกัดของเขาและคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นสมัยแรกนับตั้งแต่เป็นนักเตะเลยทีเดียว

ผ่านไปเพียงสามปีเท่านั้น ทางไมเคิล โอเว่นก็ได้ประกาศแขวนรองเท้าไปกับสโมสรสโต๊ก ซิตี้หลังจากที่สภาพร่างกายของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และอาการบาดเจ็บที่เล่นงานมาตั้งแต่สมัยอายุน้อยเริ่มส่งผลจนวิธีการเล่นของเขาเปลี่ยนไปในช่วงท้ายอาชีพของตัวเอง โดยเขายังเป็นเจ้าของสถิติซึ่งสามารถชิงประตูในแมตช์ดาร์บี้ทั้งสี่คู่นับตั้งแต่เมอร์ซีไซต์, เอล กลาซิโก้, ไทน์เวียร์และแมนเชสเตอร์ จนเรียกได้ว่าเขายังคงเป็นตำนานของฟุตบอลอังกฤษแม้ว่าแฟนทีมของหลายทีมอาจไม่ต้อนรับเขาก็ตาม