post

ถอดรหัสความสำเร็จในยุโรป 3 สมัยซ้อนของราชันย์ชุดขาว

คำว่าเจ้ายุโรปสำหรับแฟนบอลแล้ว คงหนีไม่พ้นทีมอย่างรีล มาดริด ที่เป็นผู้ครอบครองถ้วยยักษ์ของทวีปได้ถึงสามสมัยในปี 2016 ถึง 2018 โดยผ่านมือของชายที่ชื่อซีนาดีน ซีดานทุกครั้ง แต่กว่าที่พวกเขาจะสามารถกลับมาครองยุโรปได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หลังจากที่พวกเขามักจะมีปัญหาภายในระหว่างผู้เล่นกับผู้จัดการทีมเสมอ จนทำให้ทีมอย่างราชันย์ชุดขาวมีอันต้องเปลี่ยนตัวกุนซืออยู่เสมอ อีกทั้งเรื่องของนักเตะที่มีการซื้อขายไม่ประสบความสำเร็จนักในช่วงหลัง ทำให้รีล มาดริดไม่ได้ถูกมองเป็นตัวเต็งในรายการเลย แต่ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ทั้งความสามารถของผู้จัดการทีมและเรื่องราวภายในแมตช์ทั้ง 3 ปีทำให้พวกเขามีดีพอจะคว้าแชมป์ถ้วยสำคัญนี้ไป

การมาของซีดาน ยอดตำนานที่ทุกคนต้องเคารพ

เนื่องจากทีมรีล มาดริดมักจะมีการเปลี่ยนตัวผู้จัดการทีมอยู่เสมอ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะมีความสามารถแค่ไหนก็ตาม ต่างก็ต้องเก้าอี้ร้อนและจากทีมไปอย่างไม่สวยงามนัก ไม่ว่าจะเป็นราฟาเอล เบนิเตซอดีตนักเตะของทีมที่เคยคว้าแชมป์ยุโรปกับทั้งบาเลนเซียและลิเวอร์พูลมาแล้ว รวมถึงโจเซ่ มูรินโญ่ผู้จัดการทีมฝีปากกล้าผู้ความแชมป์ลีกสูงสุดได้ทั้งในอิตาลีและอังกฤษ แต่ทั้งสองคนกลับไม่ได้สามารถพาทีมราชันย์ไปถึงฝั่งฝันได้สำเร็จ ด้วยนักเตะฝีมือดีมักจะเต็มไปด้วยปัญหาการจัดการและทิศทางการคุมทีมที่อาจจะไม่ตรงกัน แต่การมาของซีดานกลับต่างออกไป เขาคือหนึ่งในผู้เล่นในยุคทองของทีมและเคยคว้าแชมป์มาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลกหรือแชมเปียนส์ลีก รวมถึงฝีมือที่แม้แต่คริสเตียโน โรนัลโด้ยังต้องให้การยอมรับ นั่นก็ทำให้เขาสามารถดึงความสามารถและความเป็นทีมกลับมาสู่ถิ่นซานติเอโก เบอร์นาบิวได้อีกครั้ง 

แชมป์ยุโรปทั้ง 3 สมัย

หลังจากมาแทนที่เบนิเตซในช่วงปีใหม่ฤดูกาล 2015/ 2016 ซีดานก็เริ่มทำงานทันทีและในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก พวกเขาก็ต้องไปเจอกับโรม่า ทีมดังจากอิตาลีและเป็นรีล มาดริดที่สามารถเอาชนะไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ก่อนที่พวกเขาจะไปโวฟส์บวร์กและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในรอบต่อมา ก่อนจะไปเจอกับคู่แข่งนัดชิงที่ไม่ธรรมดาเพราะพวกเขาคือคู่ปรับร่วมเมืองอย่างแอตแลนติโก้ มาดริดนั่นเอง ซึ่งตัวแมตช์ก็มีจุดพลิกผันสำคัญอย่างการพลาดจุดโทษของอองตวน กรีซมันส์ที่ทำให้พวกเขาพลาดท่าตีเสมอตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งหลังจนทำให้โมเมนตั้มของทีมเสียไป แม้ทีมตราหมีจะตีเสมอได้ในเวลาต่อมา แต่ถ้าหากพวกเขาได้ประตูเร็วกว่านั้นเกมอาจจะเปลี่ยนไปเลยทีเดียว ซึ่งท้ายที่สุดด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งกว่าของราชันย์ชุดขาวทำให้พวกเขาดวลจุดโทษชนะทีมคู่ปรับไป กลายเป็นแชมป์สมัยแรกของซีดานในฐานะผู้จัดการทีม ที่เหล่านักพนันก็ลุ้นกันตัวเกร็งเหมือนกัน

ในช่วงปีถัดมาพวกเขาก็ได้เจอกับยอดทีมจากอิตาลีอย่างยูเวนตุสที่ครองแชมป์ลีกมาตลอด แต่ด้วยความแข็งแกร่งของทีมจากสเปนทำให้พวกเขาเอาชนะทีมม้าลายไปอย่างไม่ยากเย็นนักด้วยสกอร์ 4-1 และเป็นการปิดฉากให้กับโรนัลโด้ที่กำลังจะย้ายออกจากทีมไปอยู่กับยูเวนตุสนี้เองในฤดูกาลถัดมา ก่อนที่ปี 2018 จะเป็นปีที่มีเรื่องราวมากที่สุดของรอบชิงชนะเลิศในรายการแชมเปียนส์ลีก เนื่องจากความผิดพลาดส่วนตัวของผู้รักษาประตูลิเวอร์พูลในเวลานั้นอย่างลอริส คาริอุสและการปะทะกันระหว่างโม ซาล่าห์กับเซอร์จิโอ รามอสที่ทำให้รายแรกได้รับบาดเจ็บที่ไหล่และต้องเปลี่ยนตัวทันที จนทีมเสียสมดุลและแพ้ไปอย่างน่าเจ็บใจ แต่ส่วนหนึ่งที่มาดริดยังสมควรเป็นผู้ชนะก็คือการเปลี่ยนตัวที่นำเอาแกเร็ธ เบลลงสนามและยิง 2 ประตูเปลี่ยนเกมให้ทีมราชันย์คว้าแชมป์ได้อย่างสวยงาม

หลังจากคว้าแชมป์ได้ยาวถึง 3 สมัยก็ทำให้ซีนาดีน ซีดานถึงจุดอิ่มตัวและพักการคุมทีมไปช่วงเวลาหนึ่ง แม้จะกลับมาสู่ทีมในเวลาต่อมาก็ตาม แต่ช่วงเวลา 3 ของรีล มาดริดถือว่าเป็นยุคทองในการแข่งขันฟุตบอลยุโรปเลยก็ว่าได้ เพราะมีไม่กี่ทีมเท่านั้นในประวัติศาสตร์ที่จะสามารถรักษาแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปได้ และชื่อของรีล มาดริดกับยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจะยังคงเป็นของคู่กันอีกต่อไปอย่างไม่อาจมีใครมาเทียบได้ในเร็ววันนี้

post

มาร์ซิยาล กับตำแหน่งกองหน้าเบอร์ 9 ที่คู่ควร

สำหรับทีมที่เคยมีนักเตะอย่างแอนดี้ โคล, เวนย์ รูนี่ย์ หรือรุด ฟาน นิสเตอรอยด์ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมขุมกำลังของปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถึงดูลดความดุดันลงไป เมื่อเทียบกับทีมยุคก่อน เพราะความเฉียบคมของนักเตะเหล่านี้เองเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมพวกเขาถึงความแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 13 สมัยและดาวซัลโวในหลาย ๆ ปีที่พวกเขาแข่งขัน จนกระทั่งมาถึงในยุคปัจจุบันที่กองหน้าของทีมที่เป็นตัวหลักก็คือแอนโทนี่ มาร์ซิยาลกับมาร์คัส แรซฟอร์ดที่อาจจะโชว์ผลงานที่ยังไม่เข้าตาแฟนผีมากนัก แต่สำหรับรายแรกอาจจะเป็นเพชรในตมที่รอการเจียระไนและแสดงฝีมือที่แท้จริงเมื่อเขาได้รับโอกาสในการเล่นในตำแหน่งที่ถนัดอย่างเบอร์ 9 นั่นเอง

ดาวรุ่งชาวฝรั่งเศส

สำหรับแอนโทนี่ มาร์ซิยาลถือเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองมากคนหนึ่งเมื่อได้รับการเซ็นสัญญาย้ายจากสโมสรโมนาโกมาอยู่กับทีมปีศาจแดงในปี 2015 ด้วยมูลค่าถึง 36 ล้านปอนด์ ผ่านสายตาของหลุยส์ ฟานกัล ผู้จัดการทีมในขณะนั้น โดยเขาถือว่าทำผลงานได้ดีหลังจากที่ลงเล่นกับทีมในฤดูกาลแรกไปถึง 49 เกมและทำประตูได้ถึง 17 ประตู ซึ่งถือว่าไม่เลวเลยสำหรับนักเตะวัย 19 ปี แต่ทว่าในช่วงปีถัดมามีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้จัดการทีมและการมาของโจเซ่ มูรินโญ่และซลาตัน อิบราฮิโมวิชก็ทำให้มาร์ซิยาลหาตำแหน่งลงเล่นได้ยากมากขึ้น และมักถูกย้ายไปอยู่ริมเส้นเสียส่วนใหญ่ทำให้เขายิงประตูได้น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่ปีต่อมาจะเป็นโรมาลู ลูกากูที่ทางแมวมองซื้อมาเพื่อเป็นตัวแทนของอิบราฮิโมวิชที่ย้ายออกไปหาความท้าทายใหม่ ก็ทำให้เขากลายเป็นตัวสำรองให้กับทีมจนทำให้อนาคตของเขาถูกตั้งคำถามเป็นอย่างมากถึงการเป็นกองหน้าให้กับทีมปีศาจแดง ณ ขณะนั้น

กองหน้าเบอร์ 9 ตัวจริง

สุดท้ายแล้วโอกาสของมาร์ซิยาลก็มาถึงพร้อมกับผู้จัดการทีมที่ชื่อโอเล กุนนาร์ โซลชา ที่เป็นคนชุดเยาวชนให้กับทีมมาก่อน และพร้อมให้โอกาสเด็กปั้นของทีมต่างจากกุนซือคนอื่น ๆ ที่ต้องการความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ซึ่งเลือดปีศาจของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็เริ่มทำงานทันที เมื่อส่วนผสมของนักเตะวัยรุ่นกับวัยเก๋าทำให้ทีมผีแดงเริ่มมีทิศทางการเล่นและจิตวิญญาณที่ดีมากขึ้น รวมถึงมาร์ซิยาลที่เริ่มกลับมาเล่นในตำแหน่งกองหน้าที่ถนัดได้อีกครั้ง จากการประสานงานระหว่างเจ้าตัวกับมาร์คัส แรชฟอร์ดที่มักจะสลับตำแหน่งในการเล่นเสมอทำให้ปี 2019-2020 ซึ่งเป็นปีแรกที่โซลชาได้คุมทีมเต็มฤดูกาล ทำให้เจ้าของเบอร์ 9 ในปัจจุบันสามารถประตูไปได้ถึง 23 ลูกจากการลงเล่นเพียง 48 นัดเท่านั้น จนถือว่าเป็นกองหน้าคนสำคัญของทีมไปแล้วในเวลานี้

ด้วยวัยเพียง 24 ปีเท่านั้นทำให้แอนโทนี่ มาร์ซิยาลน่าจับตามองมาก เพราะเขามีโอกาสจะกลายเป็นนักเตะระดับโลกได้หากยังสามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่ดุดันได้อย่างฤดูกาลที่ผ่านมา แถมบรรดาเซียนพนันก็ยกให้เป็นหนึ่งในนักแตะในดวงใจ รวมถึงภาพรวมของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่นำโดยโซลชา หากว่าเขามีขุนกำลังที่แข็งแกร่งขึ้นจากนักเตะที่เป็นลูกหม้อของทีม อาจจะทำให้การกลับมาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งอาจจะไม่ใช่เรื่องเกินฝัน และกองหน้าอย่างมาร์ซิยาลอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้วันนั้นมาถึงโดยเร็วอย่างในแฟน ๆ ต้องการ

 

post

เหตุใดคู่ชิงแชมเปียนส์ลีก 2020 จึงกลายเป็นศึกแห่งชาวนา

ในฤดูกาล 2019/2020 ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากมายในวงการฟุตบอลจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้การแข่งขันฟุตบอลต้องเลื่อนออกไปหลายเดือน เรียกว่านานจนแฟน ๆ นักพนันต้องย้ายไปเล่นเกมคาสิโนเป็นแถว ๆ จนกระทั่งการกลับมาลงแข่งอีกครั้งของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจะเกิดขึ้นในสนามกลางที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส แต่สิ่งที่พิเศษกว่านั้นก็คือคู่ชิงชนะเลิศของปีนี้คือการเจอกันระหว่างแชมป์ลีกเอิงฝรั่งเศสอย่างสโมสรปารีส แซงต์ แชร์แมงที่ลงแข่งกับทีมแชมป์บุนเดสลีกาอย่างบาเยิร์น มิวนิค ซึ่งทั้งสองลีกนี้มักจะถูกปรามาสว่าเป็นลีกรองในทวีปยุโรปเมื่อเทียบกับฟุตบอลในประเทศอังกฤษหรือสเปนที่การแข่งขันเพื่อเป็นที่หนึ่งมักจะเป็นเรื่องที่ยากกว่าเพราะมีหลายทีมที่พร้อมจะท้าชิง ต่างจากสองทีมที่กล่าวมาเนื่องจากพวกเขามักจะยึดแชมป์มานานหลายปีติดต่อกัน

รอบตัดเชือกที่ผิดคาด

เมื่อฟุตบอลสามารถกลับมาแข่งขันได้อีกครั้งและการประกาศว่าตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้ายของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจะลงแข่งที่ลิสบอน ทีมเต็งต่าง ๆ ถือว่ายังมีอยู่ครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นรีล มาดริด ยูเวนตุส หรือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่มีข้อพิพาทกับยูฟ่าจนส่งผลให้เกือบถูกสั่งห้ามลงเล่นในฤดูกาลหน้า แต่เมื่อถึงรอบสี่ทีมแล้ว กลายเป็นว่าเหลือเพียงแค่สองทีมจากเยอรมันและฝรั่งเศสเท่านั้นที่เข้ารอบต่อไป ซึ่งเป็นทางโอลิมปิก ลียงจะได้ไปเจอกับบาเยิร์น มิวนิค ส่วนปารีส แซงต์ แชร์แมงไปแข่งกับแอแบร์ ไลฟ์ซิก ก่อนที่จะเป็นทีมแชมป์ทั้งสองสามารถเข้าไปชิงชัยได้สำเร็จ โดยทั้งสองทีมต่างเอาชนะคู่แข่งไปได้ด้วยสกอร์เดียวกันที่ 3 ประตูต่อ 0 ใครเดิมพันทีมต่อก็รับเงินไปเต็ม ๆ

ลีกชาวนาคืออะไรกันแน่

สิ่งที่ทำให้แฟนบอลปรามาสว่าลีกอย่างฝรั่งเศสเป็นลีกชาวนาก็คือการผูกขาดความสำเร็จของทีมแชมป์ในลีกมาเป็นเวลานาน ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงที่ทีมปารีส แซงต์ แชร์แมงกลายเป็นทีมร่ำรวยแต่อย่างใด แต่การผูกขาดนั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุค 1980 ที่ในเวลานั้นเป็นยุคทองของโอลิมปิก มาร์กเซยล์ครองแชมป์ได้ถึง 5 สมัยซ้อน ก่อนที่เวลาต่อมาจะเป็นของโอลิมปิก ลียงที่ครองอันดับหนึ่งได้ยาวถึง 7 สมัยรวดในช่วงยุค 2000 จนกระทั่งปัจจุบันที่ทีมอย่างปารีสจะมีเจ้าของสโมสรคนใหม่และมีเงินอัดฉีดให้สโมสรมากพอที่จะทำให้พวกเขายกระดับขึ้นมาครองแชมป์อยู่เสมอในปัจจุบัน ด้วยเหตุของความจำเจนี้เองทำให้แฟนบอลไม่มองทีมจากฝรั่งเศสว่ามีดีพอจะยิ่งใหญ่ในยุโรปได้จากการแข่งขันที่ไม่เข้มข้นนัก นอกจากลีกฝรั่งเศสแล้วในลีกเยอรมันก็มักจะถูกวิจารณ์เรื่องความยิ่งใหญ่ของบาเยิร์น มิวนิคเช่นกัน เหตุก็เพราะไม่ว่าฟอร์มพวกเขาจะต่ำกว่ามาตรฐานแค่ไหนก็ตาม แต่ทุกครั้งเมื่อถึงท้ายฤดูกาลพวกเขามักจะได้แชมป์เสมอ จนเป็นที่พูดกันว่าทั้งประเทศก็คงมีแต่บาเยิร์นเท่านั้นที่ครองแชมป์ได้นั่นเอง

แม้ว่าคำวิจารณ์ของแฟนบอลจะดูถูกทีมจากฝรั่งเศสและเยอรมันมากเพียงใดก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปี 2020 พวกเขาคือทีมที่เหมาะสมแล้ว ที่จะไปชิงชัยเพื่อถ้วยรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีป ก่อนที่สุดท้ายแชมป์จะตกเป็นของทีมเสือใต้บาเยิร์น มิวนิคก็ตาม แต่ปารีสเองก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีดีพอจะต่อกรกับทีมอื่น ๆ ในยุโรปและวันหนึ่งพวกเขาจะมีฝีมือพอจะคว้าแชมป์หูยักษ์นี้ไปครองเป็นสมัยแรกตามทีมใหญ่ในลีกต่าง ๆ เคยทำเอาไว้