post

ลีดส์ ยูไนเต็ด น้องใหม่หน้าเก่าที่น่าจับตามอง

ถ้าพูดถึงทีมดังในอดีตที่แฟนบอลพรีเมียร์ลีกและเหล่านักพนันทั่วโลกได้ตั้งตาคอยให้กลับมาโลดแล่นในลีกสูงสุดอีกครั้งคงหนีไม่พ้น ทีมอย่างยูงทองลีดส์ ยูไนเต็ด ที่เคยรวมยอดดาวดังในอดีตไว้อย่างมากมายในยุค 2000 รวมถึงเคยเข้ารอบรองชนะเลิศยูยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในปี 2000/2001 อีกด้วย แต่ด้วยปัญหาทางการเงินที่ทำให้พวกเขาติดหนี้มากจนเกินสมดุลและต้องปรับขนาดทีมมากมายจนกระทั่งตกชั้น พร้อมกับเปลี่ยนมือเจ้าของอีกมากมายจนกระทั่งกลายเป็นของแอนเดรีย ราดิซซานี่ที่เป็นคนจ้างกุนซือที่ชื่อว่ามาร์เซโล บิเอลซ่าและสามารถพาทีมกลับมาอยู่พรีเมียร์ได้สำเร็จ โดยความน่าสนใจของทีมยูงทองนี้อาจจะกลับมาวาดลวดลายได้อย่างสวยงามอีกครั้งในลีกสูงสุดก็คงหนีไม่พ้นความสามารถของผู้จัดการและขุมกำลังของทีมที่เต็มไปด้วยดาวเตะพลังหนุ่มเป็นส่วนใหญ่

คาแรคเตอร์ของทีมกับการผลักดันดาวรุ่ง

อลัน สมิธ, ลี โบว์เยอร์หรือเจมส์ มิลเนอร์ต่างเป็นชื่อที่คุ้นหูสำหรับคนที่พูดฟุตบอลมาเป็นเวลานาน ซึ่งพวกเขาถือเป็นนักเตะที่คอยวนเวียนเล่นให้กับทีมต่าง ๆ ในพรีเมียร์ลีกและมีจุดเริ่มต้นฉายแววตั้งแต่สมัยอยู่กับทีมยูงทองนั่นเอง โดยการผลักดันนักเตะอายุน้อยมักจะเป็นสูตรสำเร็จที่แฟนบอลรุ่นใหญ่คุ้นเคยเสมอ และสำหรับทีมลีดส์ ยูไนเต็ดในยุคปัจจุบันก็ยังคงถือคตินี้อยู่เช่นเดิม เมื่อลองมองไปที่ตัวผู้เล่นของทีมจะพบว่าส่วนใหญ่มักจะมีอายุไม่เกิน 27 ปีเลยทีเดียวและศูนย์หน้าตัวความหวังอย่างแพททริค แบมฟอร์ดก็มีอายุเพียง 26 ปีเท่านั้น ซึ่งด้วยความที่มีนักเตะวัยหนุ่มเป็นจำนวนมากทำให้การเล่นฟุตบอลแบบไล่เพรสซิ่งกดดันคู่แข่งจึงเป็นไม้ตายหนึ่งที่ทำให้พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกรองหรือแชมป์เปี้ยนชิพได้สำเร็จในฤดูกาลที่ผ่านมา พร้อมความสิทธิเลื่อนชั้นกลับมาอยู่ในพรีเมียร์ได้ในที่สุด

บิเอลซ่ากุนซือผู้มีแนวทางของตัวเอง

อาวุธที่สำคัญของทีมลีดส์ ยูไนเต็ดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การที่พวกเขามีผู้จัดการทีมอย่างมาร์เซโล บิเอลซ่านั่นเอง แม้ว่าตัวกุนซือคนนี้จะไม่ได้มีถ้วยรางวัลประดับตู้มากนัก แต่ด้วยฝีมือความเขี้ยวของเขากลับโด่งดังไปทั่วแดนละตินเลยทีเดียว นักพนันเองก็รู้ดีถึงฝีมือของเราที่เชื่อขนมกินได้ และเป็นคนหนึ่งที่แม้แต่ยอดผู้จัดการทีมอย่างเปป กวาร์ดิโอลายังต้องให้ความเคารพว่าเขาคือของจริง โดยเรื่องขึ้นชื่อของบิเอลซ่าก็คือการใช้จิตวิทยากับนักเตะ ซึ่งบางครั้งนักเตะอาจจะไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำว่าเขาต้องการอะไรหรือคำสอนของเขาเป็นเรื่องล้อเล่นกันแน่เช่น การท้านักเตะในทีมให้ตัดนิ้วถ้าหากทีมของเขาแพ้เป็นต้น รวมถึงข่าวฉาวเรื่อง Spy Gate ที่บิเอลซ่าได้ส่งแมวมองไปดูทีมคู่แข่งซ้อมเสมอ จนโดนวิจารณ์อย่างกว้างขวางเมื่อ 2 ปีก่อน แต่สุดท้ายแล้วเทคนิคที่เขามีก็คือความเขี้ยวและการใส่ใจทีมคู่แข่งนั่นเองทำให้ลีดส์ ยูไนเต็ดอาจจะไม่ใช่เด็กใหม่อ่อนประสบการณ์ที่ทีมอื่น ๆ จะมาปราบได้อย่างง่ายดายตามที่คิด

การกลับลีกสู่พรีเมียร์ลีกอาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับลีดส์ เพราะต้องพยายามมาถึง 16 ปีด้วยกัน แต่การรักษามาตรฐานอาจจะเป็นเรื่องยากมากกว่า เพราะลีกที่มีการแข่งขันสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อาจจะต้องใช้ความสามารถจากเหล่านักเตะและโค้ช รวมถึงฝ่ายบริหารที่จะช่วยให้ทีมอยู่ตลอดรอดฝั่ง แต่ด้วยฝีมือของผู้จัดการทีมรวมถึงการสนับสนุนอย่างดีจากประธานสโมสรทำให้ทีมยูงทองอาจจะกลับมาสร้างเซอร์ไพรส์บินสูงกว่าที่แฟนบอลคาดหวังกันในปีนี้

post

ถอดรหัสความสำเร็จในยุโรป 3 สมัยซ้อนของราชันย์ชุดขาว

คำว่าเจ้ายุโรปสำหรับแฟนบอลแล้ว คงหนีไม่พ้นทีมอย่างรีล มาดริด ที่เป็นผู้ครอบครองถ้วยยักษ์ของทวีปได้ถึงสามสมัยในปี 2016 ถึง 2018 โดยผ่านมือของชายที่ชื่อซีนาดีน ซีดานทุกครั้ง แต่กว่าที่พวกเขาจะสามารถกลับมาครองยุโรปได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หลังจากที่พวกเขามักจะมีปัญหาภายในระหว่างผู้เล่นกับผู้จัดการทีมเสมอ จนทำให้ทีมอย่างราชันย์ชุดขาวมีอันต้องเปลี่ยนตัวกุนซืออยู่เสมอ อีกทั้งเรื่องของนักเตะที่มีการซื้อขายไม่ประสบความสำเร็จนักในช่วงหลัง ทำให้รีล มาดริดไม่ได้ถูกมองเป็นตัวเต็งในรายการเลย แต่ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ทั้งความสามารถของผู้จัดการทีมและเรื่องราวภายในแมตช์ทั้ง 3 ปีทำให้พวกเขามีดีพอจะคว้าแชมป์ถ้วยสำคัญนี้ไป

การมาของซีดาน ยอดตำนานที่ทุกคนต้องเคารพ

เนื่องจากทีมรีล มาดริดมักจะมีการเปลี่ยนตัวผู้จัดการทีมอยู่เสมอ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะมีความสามารถแค่ไหนก็ตาม ต่างก็ต้องเก้าอี้ร้อนและจากทีมไปอย่างไม่สวยงามนัก ไม่ว่าจะเป็นราฟาเอล เบนิเตซอดีตนักเตะของทีมที่เคยคว้าแชมป์ยุโรปกับทั้งบาเลนเซียและลิเวอร์พูลมาแล้ว รวมถึงโจเซ่ มูรินโญ่ผู้จัดการทีมฝีปากกล้าผู้ความแชมป์ลีกสูงสุดได้ทั้งในอิตาลีและอังกฤษ แต่ทั้งสองคนกลับไม่ได้สามารถพาทีมราชันย์ไปถึงฝั่งฝันได้สำเร็จ ด้วยนักเตะฝีมือดีมักจะเต็มไปด้วยปัญหาการจัดการและทิศทางการคุมทีมที่อาจจะไม่ตรงกัน แต่การมาของซีดานกลับต่างออกไป เขาคือหนึ่งในผู้เล่นในยุคทองของทีมและเคยคว้าแชมป์มาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลกหรือแชมเปียนส์ลีก รวมถึงฝีมือที่แม้แต่คริสเตียโน โรนัลโด้ยังต้องให้การยอมรับ นั่นก็ทำให้เขาสามารถดึงความสามารถและความเป็นทีมกลับมาสู่ถิ่นซานติเอโก เบอร์นาบิวได้อีกครั้ง 

แชมป์ยุโรปทั้ง 3 สมัย

หลังจากมาแทนที่เบนิเตซในช่วงปีใหม่ฤดูกาล 2015/ 2016 ซีดานก็เริ่มทำงานทันทีและในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก พวกเขาก็ต้องไปเจอกับโรม่า ทีมดังจากอิตาลีและเป็นรีล มาดริดที่สามารถเอาชนะไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ก่อนที่พวกเขาจะไปโวฟส์บวร์กและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในรอบต่อมา ก่อนจะไปเจอกับคู่แข่งนัดชิงที่ไม่ธรรมดาเพราะพวกเขาคือคู่ปรับร่วมเมืองอย่างแอตแลนติโก้ มาดริดนั่นเอง ซึ่งตัวแมตช์ก็มีจุดพลิกผันสำคัญอย่างการพลาดจุดโทษของอองตวน กรีซมันส์ที่ทำให้พวกเขาพลาดท่าตีเสมอตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งหลังจนทำให้โมเมนตั้มของทีมเสียไป แม้ทีมตราหมีจะตีเสมอได้ในเวลาต่อมา แต่ถ้าหากพวกเขาได้ประตูเร็วกว่านั้นเกมอาจจะเปลี่ยนไปเลยทีเดียว ซึ่งท้ายที่สุดด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งกว่าของราชันย์ชุดขาวทำให้พวกเขาดวลจุดโทษชนะทีมคู่ปรับไป กลายเป็นแชมป์สมัยแรกของซีดานในฐานะผู้จัดการทีม ที่เหล่านักพนันก็ลุ้นกันตัวเกร็งเหมือนกัน

ในช่วงปีถัดมาพวกเขาก็ได้เจอกับยอดทีมจากอิตาลีอย่างยูเวนตุสที่ครองแชมป์ลีกมาตลอด แต่ด้วยความแข็งแกร่งของทีมจากสเปนทำให้พวกเขาเอาชนะทีมม้าลายไปอย่างไม่ยากเย็นนักด้วยสกอร์ 4-1 และเป็นการปิดฉากให้กับโรนัลโด้ที่กำลังจะย้ายออกจากทีมไปอยู่กับยูเวนตุสนี้เองในฤดูกาลถัดมา ก่อนที่ปี 2018 จะเป็นปีที่มีเรื่องราวมากที่สุดของรอบชิงชนะเลิศในรายการแชมเปียนส์ลีก เนื่องจากความผิดพลาดส่วนตัวของผู้รักษาประตูลิเวอร์พูลในเวลานั้นอย่างลอริส คาริอุสและการปะทะกันระหว่างโม ซาล่าห์กับเซอร์จิโอ รามอสที่ทำให้รายแรกได้รับบาดเจ็บที่ไหล่และต้องเปลี่ยนตัวทันที จนทีมเสียสมดุลและแพ้ไปอย่างน่าเจ็บใจ แต่ส่วนหนึ่งที่มาดริดยังสมควรเป็นผู้ชนะก็คือการเปลี่ยนตัวที่นำเอาแกเร็ธ เบลลงสนามและยิง 2 ประตูเปลี่ยนเกมให้ทีมราชันย์คว้าแชมป์ได้อย่างสวยงาม

หลังจากคว้าแชมป์ได้ยาวถึง 3 สมัยก็ทำให้ซีนาดีน ซีดานถึงจุดอิ่มตัวและพักการคุมทีมไปช่วงเวลาหนึ่ง แม้จะกลับมาสู่ทีมในเวลาต่อมาก็ตาม แต่ช่วงเวลา 3 ของรีล มาดริดถือว่าเป็นยุคทองในการแข่งขันฟุตบอลยุโรปเลยก็ว่าได้ เพราะมีไม่กี่ทีมเท่านั้นในประวัติศาสตร์ที่จะสามารถรักษาแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปได้ และชื่อของรีล มาดริดกับยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจะยังคงเป็นของคู่กันอีกต่อไปอย่างไม่อาจมีใครมาเทียบได้ในเร็ววันนี้

post

มาร์ซิยาล กับตำแหน่งกองหน้าเบอร์ 9 ที่คู่ควร

สำหรับทีมที่เคยมีนักเตะอย่างแอนดี้ โคล, เวนย์ รูนี่ย์ หรือรุด ฟาน นิสเตอรอยด์ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมขุมกำลังของปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถึงดูลดความดุดันลงไป เมื่อเทียบกับทีมยุคก่อน เพราะความเฉียบคมของนักเตะเหล่านี้เองเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมพวกเขาถึงความแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 13 สมัยและดาวซัลโวในหลาย ๆ ปีที่พวกเขาแข่งขัน จนกระทั่งมาถึงในยุคปัจจุบันที่กองหน้าของทีมที่เป็นตัวหลักก็คือแอนโทนี่ มาร์ซิยาลกับมาร์คัส แรซฟอร์ดที่อาจจะโชว์ผลงานที่ยังไม่เข้าตาแฟนผีมากนัก แต่สำหรับรายแรกอาจจะเป็นเพชรในตมที่รอการเจียระไนและแสดงฝีมือที่แท้จริงเมื่อเขาได้รับโอกาสในการเล่นในตำแหน่งที่ถนัดอย่างเบอร์ 9 นั่นเอง

ดาวรุ่งชาวฝรั่งเศส

สำหรับแอนโทนี่ มาร์ซิยาลถือเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองมากคนหนึ่งเมื่อได้รับการเซ็นสัญญาย้ายจากสโมสรโมนาโกมาอยู่กับทีมปีศาจแดงในปี 2015 ด้วยมูลค่าถึง 36 ล้านปอนด์ ผ่านสายตาของหลุยส์ ฟานกัล ผู้จัดการทีมในขณะนั้น โดยเขาถือว่าทำผลงานได้ดีหลังจากที่ลงเล่นกับทีมในฤดูกาลแรกไปถึง 49 เกมและทำประตูได้ถึง 17 ประตู ซึ่งถือว่าไม่เลวเลยสำหรับนักเตะวัย 19 ปี แต่ทว่าในช่วงปีถัดมามีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้จัดการทีมและการมาของโจเซ่ มูรินโญ่และซลาตัน อิบราฮิโมวิชก็ทำให้มาร์ซิยาลหาตำแหน่งลงเล่นได้ยากมากขึ้น และมักถูกย้ายไปอยู่ริมเส้นเสียส่วนใหญ่ทำให้เขายิงประตูได้น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่ปีต่อมาจะเป็นโรมาลู ลูกากูที่ทางแมวมองซื้อมาเพื่อเป็นตัวแทนของอิบราฮิโมวิชที่ย้ายออกไปหาความท้าทายใหม่ ก็ทำให้เขากลายเป็นตัวสำรองให้กับทีมจนทำให้อนาคตของเขาถูกตั้งคำถามเป็นอย่างมากถึงการเป็นกองหน้าให้กับทีมปีศาจแดง ณ ขณะนั้น

กองหน้าเบอร์ 9 ตัวจริง

สุดท้ายแล้วโอกาสของมาร์ซิยาลก็มาถึงพร้อมกับผู้จัดการทีมที่ชื่อโอเล กุนนาร์ โซลชา ที่เป็นคนชุดเยาวชนให้กับทีมมาก่อน และพร้อมให้โอกาสเด็กปั้นของทีมต่างจากกุนซือคนอื่น ๆ ที่ต้องการความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ซึ่งเลือดปีศาจของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็เริ่มทำงานทันที เมื่อส่วนผสมของนักเตะวัยรุ่นกับวัยเก๋าทำให้ทีมผีแดงเริ่มมีทิศทางการเล่นและจิตวิญญาณที่ดีมากขึ้น รวมถึงมาร์ซิยาลที่เริ่มกลับมาเล่นในตำแหน่งกองหน้าที่ถนัดได้อีกครั้ง จากการประสานงานระหว่างเจ้าตัวกับมาร์คัส แรชฟอร์ดที่มักจะสลับตำแหน่งในการเล่นเสมอทำให้ปี 2019-2020 ซึ่งเป็นปีแรกที่โซลชาได้คุมทีมเต็มฤดูกาล ทำให้เจ้าของเบอร์ 9 ในปัจจุบันสามารถประตูไปได้ถึง 23 ลูกจากการลงเล่นเพียง 48 นัดเท่านั้น จนถือว่าเป็นกองหน้าคนสำคัญของทีมไปแล้วในเวลานี้

ด้วยวัยเพียง 24 ปีเท่านั้นทำให้แอนโทนี่ มาร์ซิยาลน่าจับตามองมาก เพราะเขามีโอกาสจะกลายเป็นนักเตะระดับโลกได้หากยังสามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่ดุดันได้อย่างฤดูกาลที่ผ่านมา แถมบรรดาเซียนพนันก็ยกให้เป็นหนึ่งในนักแตะในดวงใจ รวมถึงภาพรวมของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่นำโดยโซลชา หากว่าเขามีขุนกำลังที่แข็งแกร่งขึ้นจากนักเตะที่เป็นลูกหม้อของทีม อาจจะทำให้การกลับมาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งอาจจะไม่ใช่เรื่องเกินฝัน และกองหน้าอย่างมาร์ซิยาลอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้วันนั้นมาถึงโดยเร็วอย่างในแฟน ๆ ต้องการ

 

post

เหตุใดคู่ชิงแชมเปียนส์ลีก 2020 จึงกลายเป็นศึกแห่งชาวนา

ในฤดูกาล 2019/2020 ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากมายในวงการฟุตบอลจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้การแข่งขันฟุตบอลต้องเลื่อนออกไปหลายเดือน เรียกว่านานจนแฟน ๆ นักพนันต้องย้ายไปเล่นเกมคาสิโนเป็นแถว ๆ จนกระทั่งการกลับมาลงแข่งอีกครั้งของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจะเกิดขึ้นในสนามกลางที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส แต่สิ่งที่พิเศษกว่านั้นก็คือคู่ชิงชนะเลิศของปีนี้คือการเจอกันระหว่างแชมป์ลีกเอิงฝรั่งเศสอย่างสโมสรปารีส แซงต์ แชร์แมงที่ลงแข่งกับทีมแชมป์บุนเดสลีกาอย่างบาเยิร์น มิวนิค ซึ่งทั้งสองลีกนี้มักจะถูกปรามาสว่าเป็นลีกรองในทวีปยุโรปเมื่อเทียบกับฟุตบอลในประเทศอังกฤษหรือสเปนที่การแข่งขันเพื่อเป็นที่หนึ่งมักจะเป็นเรื่องที่ยากกว่าเพราะมีหลายทีมที่พร้อมจะท้าชิง ต่างจากสองทีมที่กล่าวมาเนื่องจากพวกเขามักจะยึดแชมป์มานานหลายปีติดต่อกัน

รอบตัดเชือกที่ผิดคาด

เมื่อฟุตบอลสามารถกลับมาแข่งขันได้อีกครั้งและการประกาศว่าตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้ายของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจะลงแข่งที่ลิสบอน ทีมเต็งต่าง ๆ ถือว่ายังมีอยู่ครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นรีล มาดริด ยูเวนตุส หรือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่มีข้อพิพาทกับยูฟ่าจนส่งผลให้เกือบถูกสั่งห้ามลงเล่นในฤดูกาลหน้า แต่เมื่อถึงรอบสี่ทีมแล้ว กลายเป็นว่าเหลือเพียงแค่สองทีมจากเยอรมันและฝรั่งเศสเท่านั้นที่เข้ารอบต่อไป ซึ่งเป็นทางโอลิมปิก ลียงจะได้ไปเจอกับบาเยิร์น มิวนิค ส่วนปารีส แซงต์ แชร์แมงไปแข่งกับแอแบร์ ไลฟ์ซิก ก่อนที่จะเป็นทีมแชมป์ทั้งสองสามารถเข้าไปชิงชัยได้สำเร็จ โดยทั้งสองทีมต่างเอาชนะคู่แข่งไปได้ด้วยสกอร์เดียวกันที่ 3 ประตูต่อ 0 ใครเดิมพันทีมต่อก็รับเงินไปเต็ม ๆ

ลีกชาวนาคืออะไรกันแน่

สิ่งที่ทำให้แฟนบอลปรามาสว่าลีกอย่างฝรั่งเศสเป็นลีกชาวนาก็คือการผูกขาดความสำเร็จของทีมแชมป์ในลีกมาเป็นเวลานาน ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงที่ทีมปารีส แซงต์ แชร์แมงกลายเป็นทีมร่ำรวยแต่อย่างใด แต่การผูกขาดนั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุค 1980 ที่ในเวลานั้นเป็นยุคทองของโอลิมปิก มาร์กเซยล์ครองแชมป์ได้ถึง 5 สมัยซ้อน ก่อนที่เวลาต่อมาจะเป็นของโอลิมปิก ลียงที่ครองอันดับหนึ่งได้ยาวถึง 7 สมัยรวดในช่วงยุค 2000 จนกระทั่งปัจจุบันที่ทีมอย่างปารีสจะมีเจ้าของสโมสรคนใหม่และมีเงินอัดฉีดให้สโมสรมากพอที่จะทำให้พวกเขายกระดับขึ้นมาครองแชมป์อยู่เสมอในปัจจุบัน ด้วยเหตุของความจำเจนี้เองทำให้แฟนบอลไม่มองทีมจากฝรั่งเศสว่ามีดีพอจะยิ่งใหญ่ในยุโรปได้จากการแข่งขันที่ไม่เข้มข้นนัก นอกจากลีกฝรั่งเศสแล้วในลีกเยอรมันก็มักจะถูกวิจารณ์เรื่องความยิ่งใหญ่ของบาเยิร์น มิวนิคเช่นกัน เหตุก็เพราะไม่ว่าฟอร์มพวกเขาจะต่ำกว่ามาตรฐานแค่ไหนก็ตาม แต่ทุกครั้งเมื่อถึงท้ายฤดูกาลพวกเขามักจะได้แชมป์เสมอ จนเป็นที่พูดกันว่าทั้งประเทศก็คงมีแต่บาเยิร์นเท่านั้นที่ครองแชมป์ได้นั่นเอง

แม้ว่าคำวิจารณ์ของแฟนบอลจะดูถูกทีมจากฝรั่งเศสและเยอรมันมากเพียงใดก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปี 2020 พวกเขาคือทีมที่เหมาะสมแล้ว ที่จะไปชิงชัยเพื่อถ้วยรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีป ก่อนที่สุดท้ายแชมป์จะตกเป็นของทีมเสือใต้บาเยิร์น มิวนิคก็ตาม แต่ปารีสเองก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีดีพอจะต่อกรกับทีมอื่น ๆ ในยุโรปและวันหนึ่งพวกเขาจะมีฝีมือพอจะคว้าแชมป์หูยักษ์นี้ไปครองเป็นสมัยแรกตามทีมใหญ่ในลีกต่าง ๆ เคยทำเอาไว้

 

post

สเปอร์กับความหวังเพื่อกลับไปเป็นยักษ์ใหญ่อีกครั้ง

ในฤดูกาล 2019/2020 คงถือเป็นปีที่น่าเศร้าใจสำหรับแฟนบอลทีมไก่เดือยทองท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ที่จบการแข่งขันด้วยอันดับที่ 6 และคว้าสิทธิ์ไปแข่งในรายการยูฟ่า ยูโรป้าลีกหรือถ้วยเล็กของเกมยุโรปเท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานที่พวกเขาเคยทำไว้หลังจากที่ฤดูกาลก่อนสามารถลงแข่งในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศแม้จะพ่ายให้กับลิเวอร์พูลทีมคู่แข่งจากประเทศเดียวกันไปอย่างน่าเสียดาย ก่อนที่ความพ่ายแพ้นี้จะลงผลอย่างหนักให้กับทีมสเปอร์จนฟอร์มตกอย่างน่าใจหาย ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงในตัวผู้จัดการทีมจะเกิดขึ้นจนทำให้ทีมไก่เดือยทองเริ่มมีความหวังในการกลับไปเป็นยักษ์ใหญ่ที่พวกเขาเคยเป็นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ความผิดหวังที่กระทบถึงทีมในฤดูกาลถัดมา

กลายเป็นข้ออ้างที่ดูมีมูลของสเปอร์ทันทีว่าพวกเขาและแฟน ๆ ที่เลือกวางเดิมพันข้างเขาเสียใจอย่างมากที่ไม่ได้แชมป์ในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกทั้งทีพวกเขาสามารถไปถึงรอบชิงชนะเลิศแล้วก็ตาม โดยพวกเขาสามารถเอาชนะคู่แข่งได้เพียง 3 เกมจาก 12 เกมแรกในฤดูกาลนี้ก่อนที่ผู้จัดการคนเก่าอย่างเมาริซิโอ พอเชตติโน่จะถูกปลดออกมาสโมสร แล้วแต่งตั้งผู้จัดการที่เคยคว้าแชมป์มาแล้วกับทุกทีมอย่างโจเซ่ มูรินโญ่มาแทน แม้ผลงานของทีมจะดีขึ้นและเริ่มไต่อันดับขึ้นมาอยู่ครึ่งบนของตารางได้สำเร็จ แต่ด้วยขุมกำลังที่น้อยเกินไป รวมถึงการเสียตัวทำเกมอย่างคริสเตียน เอริคเซ่นไปให้กับอินเตอร์ มิลาน แต่ไม่มีใครมาทดแทนในตำแหน่งเดียวกัน อีกทั้งอาการบาดเจ็บรบกวนกองหน้าตัวเก่งของทีมทั้งแฮร์รี่ เคนและซอง ฮง มินทำให้ทีมเสียสมดุลและไม่อาจบินสูงได้อย่างที่เคยเป็น

ความเก๋าเกมของมูรินโญ่

สิ่งที่ดูเป็นความหวังของทีมไก่เดือยทองได้อย่างดีในอนาคตคือการที่มีตัวกุนซือที่ชื่อว่ามูรินโญ่นั่นเอง ส่วนหนึ่งเพราะเขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จกับทุกสโมสรที่เขาเคยคุมทีม ไม่ว่าจะเป็นปอร์โต้, เชลซี, อินเตอร์ มิลาน หรือล่าสุดอย่างทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งชื่อของเขาเป็นเหมือนขั้วตรงข้ามกับพอชเชติโน่ซึ่งมีรูปแบบการเล่นที่สวยงามแต่มักจะตายน้ำตื้นเป็นได้แค่ที่สองเท่านั้น นับตั้งแต่วันที่กุนซือชาวโปรตุเกสเข้ามาคุมสเปอร์ ทีมของสามารถคว้าชัยในลีกได้ถึง 13 นัดจาก 26 เกมและแพ้ไปเพียง 7 เกมเท่านั้น ซึ่งในหกเกมสุดท้ายพวกเขาไม่แพ้ใครเลยจนสามารถทำอันดับกลับไปเล่นในถ้วยใบเล็กของยุโรปได้สำเร็จ จะเห็นได้ว่าเมื่อทีมของมูรินโญ่เริ่มลงตัวแล้วจะกลายเป็นทีมที่แพ้ยากและพร้อมปิดเกมเสมอ ด้วยเหตุนี้หากพวกเขาได้ผู้เล่นเกมรุกมาช่วยแบ่งเบาภาระของกองหน้า น่าจะทำให้สเปอร์กลายเป็นผู้ท้าชิงแชมป์ที่น่ากลัวเหมือนที่เคยเป็นอย่างหลายปีก่อน

แฟนบอลของสเปอร์และเหล่านักพนันยุคนี้ อาจจจะใช้เวลาเพื่อปรับตัวกับสไตล์ใหม่ของทีม ซึ่งจากเดิมเน้นเกมรุกไปสู่การเล่นเพื่อเอาชนะเท่านั้นตามสไตล์ของผู้จัดการทีม ที่มักจะไม่ถูกใจแฟนบอลทีมอื่น ๆ ที่ตัวมูรินโญ่เคยคุมผ่านมาแต่สิ่งหนึ่งที่รับประกันได้เสมอก็คือพวกเขาจะกลายเป็นทีมที่เก๋าเกมและการคว้าแชมป์ตามสไตล์มูรินโญ่อาจเกิดขึ้นอีกในไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งสุดท้ายคนที่จะมีความสุขที่สุดก็หนีไม่พ้นเดเนียล เลวี่ส์และแฟนบอลของทีมนั่นเอง

 

post

เป็ป กวาดิโอล่ากับความผิดหวังในถ้วยยุโรปยักษ์เสมอ

ถ้าหากถามว่าใครคือยอดกุนซือในยุคปัจจุบัน หนึ่งชื่อที่ต้องเอ่ยขึ้นมาของแฟนบอลและเหล่านักพนันบอลชั้นเซียนคงเป็นอดีตตำนานกงอกลางของบาร์เซโลน่าอย่างเป็ป กวาดิโอล่าต้องเป็นคำตอบยอดนิยมอย่างแน่นอน ซึ่งกวาดิโอล่าถือเป็นผู้จัดการทีมที่สามารถคว้าแชมป์ลีกให้กับทุกทีมที่เคยไปไม่ว่าจะเป็นบาร์เซโลน่าเอง บาเยิร์น มิวนิคและสโมสรปัจจุบันอย่างแมนเชสเตอร์ซิตี้ แต่ทว่าฝันร้ายของเป็ปก็มีอยู่เช่นกันคือ นอกจากสมัยอยู่กับบาร์ซ่าแล้ว เขาไม่สามารถพาทีมอื่นคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้อีกเลย ไม่ว่าจะคุมทีมบาเยิร์นในยุคที่ริเบอรี่และร็อบเบนยังคงฟอร์มเก่งอยู่ หรือจะเป็นทีมเรือใบสีฟ้าในยุคที่กองกลางแข็งแกร่งและกองหน้ามากฝีมืออย่างกุน อเกวโร่ แต่สุดท้ายแล้วเขากลับไปได้ไกลเพียงแค่รอบรองชนะเลิศเท่านั้น

เป็ปกับทีมเสือใต้

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในช่วงก่อนเลือกคุมทีมเสือใต้บาเยิร์น มิวนิค เป็ป กวาดิโอล่ามีทางเลือกอีกทางคือการไปคุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนั่นเอง แต่ทว่าเขากลับปัดข้อเสนอนี้ไปในปี 2013 และการเลือกบาเยิร์นก็ทำให้เขากลายเป็นแชมป์บุนเดสลีกาถึง 3 สมัย แต่ทว่าเส้นทางในถ้วยยุโรปกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อปีแรกของเป็ปทำได้แค่เพียงเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้ายก่อนไปพ่ายให้รีล มาดริดไปด้วยผลประตูรวม 5-0 และเป็นการแพ้ครั้งแรกในสนามของมาดริด นับตั้งแต่เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม เซียนพนันทั้งหลายจึงต้องอกหักและตะลึงไปตาม ๆ กัน ก่อนที่ปีถัดมาเป็ปจะได้เจอกับทีมเก่าอย่างบาร์เซโลน่าไปด้วยสกอร์ 3 ต่อ 5 ซึ่งพวกเขาออกไปพ่ายทีมจากคาตาลันก่อนถึง 3-0 ด้วยกัน จนกระทั่งปีสุดท้ายของกวาดิโอล่าที่มิวนิค เขาพาทีมเสือใต้ไปจบลงที่รอบสี่ทีมเช่นเดิม เมื่อพ่ายให้แก่แอตแลนติโก มาดริดด้วยกฎประตูทีมเยือนหลังจากเสมอกับทีมตราหมีในสกอร์ 2-2 แต่การเสียประตูในถิ่นตัวเองทำให้พวกเขาต้องตกรอบไปอย่างน่าเจ็บใจ และต้องบอกลาทีมเสือใต้ไปหลังหมดสัญญา

ผู้นำทีมเรือใบสีฟ้า

สิ่งที่เป็ป กวาดิโอล่าเข้ามาเปลี่ยนแปลงทีมก็คือการที่เขาสามารถทำให้ทีมเรือใบสีฟ้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีแผนการเล่นที่แข็งแกร่งและเกมรุกที่ชาญฉลาดอย่างเห็นได้ชัด การนำทีมโดยเดวิน เดอ บรอยด์ทำให้เป็ปสามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้ 2 สมัยรวดในปี 2018 และ 2019 แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เรือใบสีฟ้ายังคงทำไม่ได้ก็คือการเป็นเจ้ายุโรปสักครั้งนั่นเอง และการมีเป็ปเข้ามาน่าจะทำให้เป้าหมายนี้ประสบความสำเร็จได้ในอนาคต แต่ในฤดูกาลแรกของเขากลับทำได้เพียงตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น หลังจากเสมอสโมสรโมนาโกด้วยสกอร์ 6-6 แต่ตกรอบไปด้วยกฎประตูทีมเยือน ก่อนที่สองปีต่อมาพวกเขาจะเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่ต้องตกรอบไปด้วยน้ำมือของคู่แข่งในลีกทั้งลิเวอร์พูลและท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์สอย่างน่าเจ็บใจ จนในฤดูกาล 2020 ที่ลงแข่งในสนามกลางและพวกเขาถือเป็นตัวเต็งในรายการนี้เพราะถ้วยยูฟ่า แชมปเปี้ยนส์ลีกถือเป็นความสำเร็จสุดท้ายที่กวาดิโอล่าจะครองได้ก่อนหมดฤดูกาล ทว่าเรือใบสีฟ้ากลับพลาดท่าแพ้โอลิมปิก ลียงไปในรอบอาถรรพ์ 8 ทีมสุดท้ายนั่นเอง

ความผิดหวังนี้เองที่ทำให้เป็ป กวาดิโอล่ายังคงต้องกลับไปทำการบ้านอย่างหนักเพื่อที่จะลบคำสบประมาทว่าเขาสามารถเป็นเจ้ายุโรปได้ก็ต้องเมื่อมียอดทีมอยู่ในมือเท่านั้น และด้วยสถานการณ์ที่ไม่ปกติของวงการฟุตบอลทั่วโลก จึงไม่แปลกที่ทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้จะได้เปรียบในเรื่องของจำนวนเงินทุนที่อัดฉีดเข้ามาในสโมสร แล้วการคว้าตัวนักเตะระดับสูงอาจจะเป็นทางออกเพื่อให้ทีมเรือใบสีฟ้ากลับมาโลดแล่นอย่างสง่างามอีกครั้งในฤดูกาลต่อไป

post

ให้คะแนนแลมพ์พาร์ดในการคุมทีมรักปีแรก

ถือว่าปิดฤดูกาลไปอย่างสวยงามสำหรับแฟนบอลและคนที่ถือหางเดิมพันข้างสิงโตน้ำเงินครามเชลซี ที่สามารถทำอันดับไปเล่นแชมเปียนส์ลีกลีกได้ในฤดูกาลหน้าแม้ว่าพวกเขาจะโดนห้ามซื้อขายนักเตะไปถึง 1 รอบตลาดก็ตาม แต่ด้วยฝีมือการคุมทีมของตำนานเบอร์ 8 อย่างแฟรงค์ แลพพาร์ดที่พาลูกทีมวัยผสมกลับสู่เส้นทางไปเล่นถ้วยใหญ่ในฤดูกาลหน้าได้สำเร็จในอันดับที่ 4 รวมถึงผลงานในฟุตบอลถ้วยที่เขาสามารถพาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศในรายการเก่าแก่ของประเทศอังกฤษอย่างเอฟเอ คัพ แม้จะพลาดท่าเสียทีให้ทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่างไอ้ปืนใหญ่อาร์เซนอลก็ตาม แต่โดยรวมแล้วถือว่าเป็นปีที่ไม่เลวของแลมพ์ในฐานะกุนซือหน้าใหม่คนนี้

ผลงานในพรีเมียร์ลีก

ว่ากันว่าพรีเมียร์ลีกอังกฤษถือว่าเป็นลีกฟุตบอลที่มีความหินมากที่สุดลีกหนึ่งในโลก ทั้งกับการลงแตะและเลือกข้างเดิมพัน โดยมักเต็มไปด้วยดาวดังและผู้จัดการทีมยอดฝีมืออยู่มากมาย แต่สโมสรยักษ์ใหญ่อย่างเชลซีกลับเลือกผู้จัดการทีมระดับแชมป์เปี้ยนชิพอย่างแฟรงค์ แลมพาร์ดเข้ามาคุมทีมในปี 2019/2020 ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเป็นตำนานของทีมและเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในช่วงวิกฤติศรัทธา ของสโมสรเนื่องจากการคุมทีมของนายใหญ่คนเก่าอย่างเมารีซิโอ ซาร์รี่มีความเอาแต่ใจมากจนเกินไปพร้อมกับเป็นช่วงที่ทีมไม่สามารถเสริมทัพจึงทำให้แลมพ์พาร์ดที่นิยมปั้นดาวรุ่งในทีมจึงได้รับโอกาสนี้ ซึ่งตำนานของทีมก็ไม่ได้ทำให้แฟนผิดหวังเมื่อสามารถจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 โดยเอาชนะคู่แข่งได้ถึง 20 นัดมากกว่าอันดับ 3 อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเสียอีก ซึ่งจุดอ่อนของทีมก็คือกองหลังที่ไม่แข็งแกร่งมากนักจนทำให้ทีมเสียประตูได้ง่าย แต่ข้อดีก็คือขุมกำลังเกมรุกที่เฉียบคมที่มีแทมมี่ อิบราฮัมกองหน้าตัวความหวังที่ทำประตูได้ถึง 15 ประตูด้วยกัน และส่งผลให้ทีมทำประตูในลีกได้ถึง 69 ลูกเป็นรองเพียงแค่สองทีมแรกในตารางอย่างลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้เท่านั้น

ผลงานบอลถ้วย 

เรื่องที่น่าเจ็บใจที่สุดของฤดูกาลนี้ก็คือเชลซีสามารถเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพได้ในปีแรกที่มีแลมพ์พาร์ดเข้ามาคุมแต่ทว่าเขากลับพลาดท่าแพ้อาร์เซนอลไปอย่างน่าเสียดายทั้งที่ทีมสิงห์น้ำเงินได้โอกาสขึ้นนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 5 แต่กลับมาโดนทีเด็ดจากปิแอร์ เอเมอร์ริค โอบาเมยองทำสองประตูรวดแซงเอาชนะไปได้ รวมทั้งการชิงแชมป์ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพที่ต้องแข่งกับลิเวอร์พูลคู่ปรับในประเทศ และเป็นพวกเขาที่ขึ้นนำได้ก่อนอีกครั้งแต่กลับโดนตีเสมอ แล้วไปดวลจุดโทษแพ้ให้กับหงส์แดงในท้ายที่สุด ก่อนที่ทางด้านถ้วยใบใหญ่ของยุโรปอย่างแชมเปียนส์ลีกลีก พวกเขาจะมาพ่ายให้กับบาเยิร์น มิวนิคแบบหมดลุ้นไปด้วยสกอร์รวม 7-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย และจบฤดูกาลไปแบบมือเปล่า

เป็นที่เข้าใจได้ว่าทีมของแลมพ์พาร์ดมีความเสียเปรียบโดยเฉพาะการเสียโอกาสซื้อนักเตะใหม่เข้าทีมทำให้เขามีทรัพยากรอย่างจำกัด แต่ปลายทางแล้วแลมพ์ยังมีผลงานคุมทีมที่ดีกว่าความคาดหวังของแฟนบอล เพราะทั้งประสบการณ์และตัวผู้เล่นที่ไม่แข็งแกร่งเหมือนอย่างเก่า ทว่าสิงโตน้ำเงินครามยังจบอันดับด้วยการไปเล่นฟุตบอลยุโรปและยังสามารถเข้าชิงบอลถ้วยได้อีกด้วย ทำให้ผลงานของซุปเปอร์แฟรงค์อยุ่ในระดับ 7 เต็ม 10 หรือเข้าตากรรมการนั่นเอง

post

การแข่งขันแชมเปียนส์ลีกแบบใหม่ที่อาจเปลี่ยนไปตลอดกาล

จบลงไปแล้วกับรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่ผู้ชนะตกเป็นของบาเยิร์น มิวนิค ยอดทีมจากประเทศเยอรมัน ที่สามารถเอาชนะทีมเศรษฐีอย่างปารีส แซงต์ แชร์แมงไปได้ด้วยสกอร์ 1-0 แม้ใครที่แทงสกอร์ต่ำจะผิดหวัง แต่ก็ได้รับทรัพย์ทีมแชมป์อยู่ดี ซึ่งในรายการแข่งขันนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง และมีผลตอบรับเป็นอย่างดีทำให้สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปเริ่มมีความคิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบชั่วคราวนี้ให้เป็นกติกาแบบใหม่เลยทีเดียว ซึ่งการเปลี่ยนกติกาและรูปแบบของการแข่งขันถือว่ามีอยู่เรื่อย ๆ และใช้กฎใหม่อาจจะส่งผลให้ฟุตบอลมีความสนุกมากกว่าเดิมอีกด้วย

การใช้สนามกลางเพื่อกันโรคระบาด

ด้วยความที่โรคโควิด-19 ยังคงระบาดไปทั่วทวีปยุโรปทำให้การแข่งขันฟุตบอลยังอยู่ในการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ ซึ่งงดให้แฟนเข้าชมและมีการตรวจหาไวรัสก่อนลงเล่นเสมอ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปได้ตัดสินใจจะย้ายไปลงแข่งกันในสนามที่กรุงลิสบอนของโปรตุเกสเพราะเป็นสถานที่มีความเสี่ยงต่อเชื้อต่ำ และการแข่งขันยังถือว่าผ่านไปด้วยดี โดยไม่มีผู้เล่นติดเชื้อเพิ่มเติม แม้ว่าจะยังมีเสียงวิจารณ์จากแฟนบอลทีมต่าง ๆ ที่ลงแข่งขันว่าทำให้สโมสรที่ลงแข่งขันเสียเปรียบเนื่องจากการแข่งขันตามปกติแล้ว ทุกทีมจะมีโอกาสได้ลงเล่นในสนามของตัวเองจนกว่าจะถึงรอบชิงชนะเลิศที่ลงแข่งในสนามกลางเท่านั้น เว้นแต่เจ้าของสนามจะสามารถเข้ารอบชิงได้เสียเอง แต่เนื่องด้วยโรคระบาดจึงทำให้การเตะในประเทศที่ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่า และอาจจะเป็นกฎในอนาคตด้วยเช่นกันตราบที่ไวรัสยังไม่มีวัคซีนป้องกัน

การเตะแบบแพ้คัดออก

การเล่นฟุตบอลแบบนัดเดียวจบถือเป็นการวัดใจต่อทีมที่ลงแข่งเป็นอย่างมากเพราะหากพวกเขาแพ้ จะไม่มีโอกาสแก้ตัวอีก โดยธรรมเนียมการเล่นแบบแพ้คัดออกมักจะเกิดขึ้นในบอลถ้วยประจำประเทศต่าง ๆ เช่นเอฟเอ คัพ ของประเทศอังกฤษ ซึ่งในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกปี 2020 ก็ได้นำกติกายอดนิยมกลับมาใช้ในทัวร์นาเมนต์ใหญ่อีกครั้ง โดยเริ่มตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นต้นไป และผลที่ตามมาก็คือไม่มีผลเสมอเกิดขึ้นอีกเลย รวมไปถึงทั้ง 8 ทีมต่างทำประตูกันไปกอบเป็นกำจนฝ่ายบริหารมีความรู้สึกพอใจในกฎใหม่อย่างมาก และอาจจะนำมาใช้ในอนาคตนี้เนื่องจากสีสันของฟุตบอลได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากปกติที่แต่ละทีมมักจะเล่นกันอย่างรัดกุมเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเสียประตูทีมเยือนที่นำมาคิดเพื่อเข้ารอบต่อไป จึงทำให้ฟุตบอลมีความน่าเบื่อเกินไปและกติกาแพ้คัดออกจึงเป็นทางออกที่ดีให้แก่รายการนี้

แม้การตั้งกติกาใหม่จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววันก็ตามเพราะฤดูกาล 2020 เพิ่งจบลงไป แต่แฟนบอลน่าจะรู้สึกได้ว่าการมีกีฬาให้ชมอีกทั้งปลอดภัยแก่ตัวนักเตะน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้ หลังจากฟุตบอลต้องถูกงดไปถึง 3 เดือนก่อนจะกลับมาลงแข่งใหม่ รวมถึงการเริ่มอนุญาตให้แฟนบอลเริ่มเข้าสนามได้แล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียง 30% ของสนามเท่านั้น หากว่ายูฟ่ายังมีทางออกที่ทำให้ฟุตบอลปลอดภัยรวมถึงสนุกกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในยุคโควิด-19 นี้

post

ไมเคิล โอเว่น กับแชมป์ลีกครั้งเดียวก็พอใจแล้ว

เบบี้โกลหรือไมเคิล โอเว่น ถือว่าเป็น 1 ในตำนานของทีมหงส์แดงลิเวอร์พูลที่แฟนของทีมอาจจะไม่ชอบนัก เพราะการให้สัมภาษณ์ที่ไม่ให้เกียรติทีม รวมทั้งการย้ายไปอยู่กับคู่ปรับตลอดกาลอย่างปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งทำเอาแฟนบอลและนักพนันผู้พักดีต่างหันหลังให้กับตำนานของทีมคนนี้ ซึ่งหลังจากที่โอเว่นย้ายออกจากลิเวอร์พูลไปสู่รีล มาดริดเขาก็เริ่มมีอาการบาดเจ็บรบกวนจนทำให้โชว์ได้ไม่ดีดังเก่า รวมถึงการย้ายถิ่นไปมาจนกระทั่งในปี 2010 ที่ฝันของเขาก็กลายเป็นจริงขึ้นมาก่อนสโมสรที่ปั้นเขาจนโด่งดังจะทำสำเร็จเสียอีก

การย้ายออกจากลิเวอร์พูล

ในช่วงต้นฤดูกาล 2005 ที่ผู้จัดการทีมอย่างเชอร์รา อูลิเยต์ถูกปลดออกจากทีมลิเวอร์พูล ทางไมเคิล โอเว่นก็ได้ย้ายออกจากทีมเช่นกัน โดยเบบี้โกลได้บอกลาทีมหงส์แดงไปพร้อมกับสถิติลงเล่น 297 นัดและทำประตูไปถึง 158 ลูกพร้อมกับสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่สามารถยิงครบ 100 ประตู แต่เส้นทางของโอเว่นกลับไม่เป็นไปอย่างที่หวังนัก เนื่องจากเขาลงเล่นให้กับรีล มาดริดได้เพียง 45 นัดและทำประตูได้ 16 ลูกเท่านั้นซึ่งถือว่าต่ำว่ามาตรฐานที่เขาทำได้ในพรีเมียร์ลีก หลังจากไปเล่นในประเทศสเปนได้เพียง 1 ฤดูกาล เขาก็ได้ย้ายไปอยู่ในทีมนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติของสโมสรในเวลานั้น แต่เขากลับใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ อีกทั้งยังหาช่องทางหนีจากทีมหลังจากที่สาลิกาดงตกชั้นลงไปอยู่ลีกแชมป์เปี้ยนชิพ จนแฟนบอลของทีมเสื้อขาวดำต่างพากันวิจารณ์ตัวโอเว่นอย่างหนักหน่วงที่ไม่มีความจริงใจต่อสโมสรเลยทีเดียว

เสนอตัวไปสู่แชมป์พรีเมียร์ลีก

แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์มากมายเรื่องที่เขาร่อนจดหมายเสนอตัวให้กับทีมต่าง ๆ ในพรีเมียร์ลีกก็ตามแต่ สุดท้ายแล้วกลับเป็นเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันกุนซือทีมคู่ปรับที่นักพนันต้องอ้าปากค้าง ที่เอ่ยปากชวนให้โอเว่นไปร่วมงานกับเขาที่โอลด์ แทฟฟอร์ดและไม่แปลกที่นักเตะร่างเล็กคนนี้จะตอบตกลงอย่างไม่ลังเลใจ หลังจากโอเว่นใช้เวลาอยู่เพียงปีแรก เขาก็สามารถช่วยทีมปีศาจแดงกลายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จอีกหนึ่งสมัย ซึ่งลูกยิงสำคัญของเขาในเสื้อสีแดงนี้ก็คือการทำประตูชัยในแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้จนทำให้ผีแดงเอาชนะทีมคู่ปรับอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ไปได้ 4 ต่อ 3 ก่อนจะจบฤดูกาลไปก่อนเพื่อนเพราะอาการบาดเจ็บทำให้เขาลงเล่นได้เพียง 31 แมตช์และทำประตูได้ 9 ลูกเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับทีมต้นสังกัดของเขาและคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นสมัยแรกนับตั้งแต่เป็นนักเตะเลยทีเดียว

ผ่านไปเพียงสามปีเท่านั้น ทางไมเคิล โอเว่นก็ได้ประกาศแขวนรองเท้าไปกับสโมสรสโต๊ก ซิตี้หลังจากที่สภาพร่างกายของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และอาการบาดเจ็บที่เล่นงานมาตั้งแต่สมัยอายุน้อยเริ่มส่งผลจนวิธีการเล่นของเขาเปลี่ยนไปในช่วงท้ายอาชีพของตัวเอง โดยเขายังเป็นเจ้าของสถิติซึ่งสามารถชิงประตูในแมตช์ดาร์บี้ทั้งสี่คู่นับตั้งแต่เมอร์ซีไซต์, เอล กลาซิโก้, ไทน์เวียร์และแมนเชสเตอร์ จนเรียกได้ว่าเขายังคงเป็นตำนานของฟุตบอลอังกฤษแม้ว่าแฟนทีมของหลายทีมอาจไม่ต้อนรับเขาก็ตาม

post

เลวานดอฟสกี้ จากผิดหวังเมื่อวันวานสู่แชมป์ยุโรป

ด้วยผลงานการยิงประตู 56 ลูกใน 1 ฤดูกาลทำให้ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมชายที่ชื่อว่า โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ถึงกลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมเสือใต้บาร์เยิร์น มิวนิคกลายเป็นทริปเปิ้ลแชมป์หรือผู้ชนะในสามถ้วยใหญ่ ซึ่งก็คือแชมป์บุนเดสลีกา ดีเอฟเอ โพคาล และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แต่เส้นทางของนักเตะที่ชื่อว่า เลวานดอฟสกี้ไปสู่การเป็นเจ้ายุโรปกลับไม่ง่ายนัก เนื่องจากนับตั้งแต่เขาเข้ามารวมทีมกับบาเยิร์น มิวนิค ทีมของเขากลับทำได้เพียงตกรอบก่อนชิงชนะเลิศทั้งสิ้น รวมถึงการชิงแชมป์ครั้งแรกของเขาก็ต้องอกหักด้วยน้ำมือของทีมเสือใต้เองเช่นกัน

การชิงแชมป์ครั้งแรกในทีมเสือเหลือง

ในฤดูกาล 2012/2013 ถือเป็นปีที่น่าเจ็บใจสำหรับเจอร์เก้น คล็อปป์และลูกทีม หลังจากที่พวกเขาทำผลงานได้ไม่ดีนักในบุนเดสลีกาเยอรมัน ซึ่งจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 2 พร้อมกับคะแนนที่ 66 แต้ม ซึ่งตามหลังอันดับ 1 อย่างบาเยิร์น มิวนิคถึง 25 คะแนนด้วยกันผิดกับปีก่อนที่พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ แต่ความเจ็บช้ำของพวกเขายังไม่จบลงเพียงเท่านี้ แม้ว่าตลอดปียอดดาวยิงอย่างโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้จะสามารถยิงคู่แข่งได้มากถึง 36 ประตูในทุกการแข่งขัน ทว่ามันไม่เพียงพอที่จะทำให้เขากับทีมเสือเหลืองคว้าแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรป ผิวหวังทั้งแฟนบอลและเหล่านักพนันทั้งหลาย หลังจากที่ดอร์ทมุนด์ทำผลงานได้ดีตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกด้วยการจบลงด้วยอันดับ 1 เหนือทีมเจ้าประจำอย่างรีล มาดริด ก่อนที่พวกเขาจะปราบชักเตอร์ โดเน็ทส์และมาลาก้า ก่อนจะมาเอาชนะรีล มาดริดได้อีกรอบ จนกระทั่งเข้าชิงชนะเลิศกับทีมเสือใต้คู่แข่งประจำลีกของตัวเอง แต่กลับเสียประตูในช่วงท้ายเกมจากอาร์เยน ร็อบเบนจนพ่ายไปในสกอร์ 2-1 พร้อมทิ้งแผลในใจให้กับทีมเสือเหลืองจนปัจจุบัน

การย้ายค่ายและความสำเร็จในถ้วยใบใหญ่ของเลวาน

ผ่านจากเหตุการณ์รอบชิงชนะเลิศในปี 2013 ได้เพียง 1 ปีเศษเท่านั้น ทางโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ก็ได้ย้ายฝั่งไปอยู่กับบาร์เยิร์น มิวนิคแทนหลังจากหมดสัญญากับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ การบ้าบทีมครั้งนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าของบุนเดสลีกาไปทันที เพราะอาวุธสำคัญของทีมที่พร้อมแย่งแชมป์ได้ตกมาอยู่กับทีมบาเยิร์นเสียเอง และนับตั้งแต่ปีที่เลวานดอฟสกี้ย้ายเข้ามาที่มิวนิค เขาก็ไม่เคยพลาดแชมป์ลีกอีกเลยจนถึงปัจจุบัน แต่สำหรับเส้นทางเจ้ายุโรปแล้ว พวกเขากลับคว้าน้ำเหลวเสมอ ด้วยเหตุผลที่คู่แข่งในประเทศไม่แข็งแกร่งเหมือนอย่างเคยหลังจากที่ทั้งยอดดาวยิงชาวโปแลนด์และเจอเก้น คลอปป์ย้ายออกจากทีมดอร์ทมุนด์ โดยการแข่งขันถ้วยยูซีแอลนั้นพวกเขากลับไปได้ไกลสุดแค่รอบรองชนะเลิศเท่านั้นในหลายปีต่อมา ทั้งการแพ้ให้บาร์เซโลน่าและสองทีมจากเมืองมาดริด ก่อนจะมาตกรอบ 16 ทีมด้วยน้ำมือของคลอปป์ที่ย้ายมาคุมทีมลิเวอร์พูลในปี 2018/2019 จนกระทั่งในปี 2020 ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ปกติของโลกทำให้การแข่งขันเปลี่ยนเป็นการแข่งแบบแมตช์เดี่ยวแพ้คัดออก ก่อนที่ทีมเสือใต้และเลวานดอฟสกี้จะสามารถคว้าแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปมารอบได้อีกเป็นครั้งที่ 6 หลังจากที่เอาชนะปารีส แซงต์ แชร์แมงไปได้ด้วยสกอร์ 1-0 และลบฝันร้ายของเลวานเมื่อเจ็ดปีก่อนได้สำเร็จ

จะเห็นได้ว่าความฝันของคนมักจะมาพร้อมกับความมุ่งมั่นและจังหวะชีวิตเสมอ แม้ว่าตัวเลวานดอฟสกี้จะแสดงฝีมือความเป็นกองหน้าของเขามาตั้งแต่อยู่กับทีมเสือเหลือง แต่ทว่าการย้ายทีมของเขารวมถึงการพัฒนาฝีมือตลอดเวลาของเขาทำให้เจ้าตัวประสบความสำเร็จได้ในที่สุด แม้จะอยู่ในวัย 32 ปีก็ตาม และความคมเข้าฝักที่สามารถยิงคู่แข่งได้ถึง 56 ลูกจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นเจ้ายุโรปในที่สุด