post

ลิเวอร์พูลผงาดขึ้นเป็นเต็งแชมป์พรีเมียร์ลีกเต็มตัว

บริษัทรับพนันถูกกฎหมายในประเทศอังกฤษได้ลดอัตราการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 19 ของลิเวอร์พูลแบบเดี่ยว ๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี หลังจากที่ทีมหงส์แดงโชว์ฟอร์มร้อนแรงเก็บชัยชนะรวดครบทุกนัดตั้งแต่เปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก ในขณะที่คู่แข่งโดยตรงอย่างทีมเรือใบสีฟ้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้กลับต้องประสบกับความพ่ายแพ้อย่างไม่คาดหมายถึง 2 นัด เวลาในการรอคอยแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปีกำลังจะจบลงแล้ว

เซอร์ไพรส์ไม่สอยสตาร์ร่วมทัพ

ในบรรดากลุ่มบิ๊กซิกมีเพียงเชลซีที่ติดโทษแบนการซื้อขายนักเตะเยาวชนผิดกฎจากฟีฟ่าจนหมดสิทธิ์เสริมทัพ นอกจากเชลซีแล้วไม่ว่าจะเป็น 2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์หรือ 2 ทีม จากกรุงลอนดอนอย่างอาร์เซนอลและท็อตแน่มฮ็อทสเปอร์ต่างทุ่มเงินกันกว่าทีมละหลักร้อยล้านปอนด์เพื่อทำการเสริมทัพนักเตะ แม้แต่เอฟเวอร์ตันทีมร่วมเมืองลิเวอร์พูลก็ยังทุ่มเงินกว่า 100 ล้านปอนด์เสริมทัพในฤดูกาลนี้ แต่ลิเวอร์พูลกลับควักกระเป๋าไม่ถึง 2 ล้านปอนด์ เพื่อคว้านักเตะอย่างเซปป์ ฟาน โดน เบิร์ก, ฮาร์วี่ เอลเลียต 2 นักเตะดาวรุ่ง และเอเดรียน นายทวารประสบการณ์สูงชาวสเปนจากสโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ดเพื่อเข้ามานั่งสำรองแทนซิมง มิโญเล่ต์ที่ย้ายออกไปเท่านั้น ทั้งนี้เจอร์เก้น คล็อปป์โค้ชคนเก่งของทีมได้ให้เหตุผลว่าเขามั่นใจในทีมชุดที่มีอยู่แต่มันก็สร้างความแปลกใจและกังวลใจให้กับเหล่าแฟนบอลเดอะค็อปไม่น้อย

ฟอร์มดีมีโชค

แชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกปีล่าสุดในฤดูกาลนี้พวกเขาดูจะมีความมั่นใจมากกว่าในปีก่อนมากนักเตะดูมีประสบการณ์และเล่นกันเป็นทีมมากขึ้น แม้จะเริ่มต้นอย่างโชคร้ายที่อลิสซง เบ็คเกอร์นายทวารคนเก่งของทีมและทีมชาติบราซิล ต้องบาดเจ็บตั้งแต่นัดแรกของฤดูกาล แต่เอเดรียน ผู้รักษาประตูประสบการณ์สูงที่ดึงมาจากเวสต์แฮม ทำหน้าที่ทดแทนได้ดีพอสมควรโดยเฉพาะการเซฟจุดโทษในศึกซุปเปอร์คัพนัดชิงกับเชลซีพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ได้ในที่สุดอย่างไรก็ดีต้องยอมรับว่าลิเวอร์พูลก็มีโชคอยู่ไม่น้อย หรืออาจจะด้วยสปิริตแรงกล้าของทีม ทำให้ทีมมักจะได้ประตูในช่วงท้ายเกมอยู่บ่อย ๆ และทำให้เขาบินสูงเหนือใครในฤดูกาลนี้

ปลายทางแห่งความสำเร็จที่ยังยาวไกล

ไม่มีสโมสรใดที่จะออกสตาร์ทได้ดีกว่านี้อีกแล้วพวกเขาเก็บชัยชนะได้ถึง 8 นัดรวดและทำคะแนนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ทีมอันดับ 2 ถึง 6 คะแนน ไม่มีสโมสรใดในลีกชั้นนำของยุโรปสามารถทำได้ดีกว่าพวกเขาอีกแล้วในฤดูกาลนี้นี่มันคือการออกสตาร์ทในฝันชัด ๆ แต่เส้นทางในอีก 30 นัดที่ยังรอพวกเขาอยู่ สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ไปได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาพวกเขาเคยแมนเชสเตอร์ ซิตี้มาแล้วถึง 10 คะแนน ก่อนที่จะขาดเพียง 1 คะแนน จบด้วยอันดับรองแชมป์ลูกค้าเราแนะนำมาอย่างน่าเจ็บช้ำ นี่จะเป็นโอกาสแก้ตัวของลิเวอร์พูลอีกครั้ง และเชื่อว่าพวกเขาจะทำได้ดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน

post

ลิเวอร์พูลพร้อมล้างอาถรรพ์เดินหน้าคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 19

สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งเมื่อปี 1892 เกือบหนึ่งร้อยปีต่อมา ลิเวอร์พูลคือ สโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุด ในประเทศอังกฤษ ในปี 1989-90 คือครั้งสุดท้ายที่ลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 18 ซึ่งในตอนนั้นแมนฯยูไนเต็ดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษได้เพียง 7 สมัยเท่านั้น แต่หลังจากที่ดิวิชั่นหนึ่งอังกฤษได้เปลี่ยนชื่อเรียกมาเป็นพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลกลับไม่เคยคว้าแชมป์ได้เลยตลอดระยะเวลาร่วม 30 ปี กลับกลายเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทีมคู่ปรับต่างเมืองสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกหรือดิวิชั่น 1 เดิมได้อีกถึง 13 สมัย ขึ้นเป็นทีมที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดในเมืองผู้ดีแทน  ที่ลิเวอร์พูลได้จนถึงปัจจุบันอย่างไม่น่าเชื่อ และหลังจากนั้นลิเวอร์พูลไม่เคยได้อยู่ในตำแหน่งนั้นอีกเลย จนกระทั่งเริ่มมีความหวังหลังจากได้โค้ชคนใหม่ชื่อ “เจอร์เก้น คล็อป”

เมื่อเหล่าพลพรรคหงส์แดงกลายร่างเป็นฝูงหมาป่า

หลังจากที่ลิเวอร์พูลต้องล้มเหลวกับการเริ่มต้นใหม่อยู่หลายครั้ง และทำได้เพียงเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์เพรีเมียร์ลีกเท่านั้น ลิเวอร์พูลก็กลับมาเป็นทีมที่น่าเกรงขามอีกครั้ง ด้วยสไตล์การเล่นแบบ “เกเก้น” ฟุตบอลของเจอร์เก้น คลอปป์ที่เคยทำสำเร็จที่ดอร์ทมุนด์มาแล้ว ระบบการเล่นของคล็อปป์จะเป็นการเข้ารุมเพรสซิ่งเพื่อแย่งบอลคู่แข่ง เปรียบเสมือนฝูงหมาป่าที่ล้อมเหยื่อของมันไว้ ทำให้คู่แข่งของลิเวอร์พูลครองบอลไม่ได้และมีโอกาสเสียบอลได้ตลอดเวลา การเล่นที่ทุ่มเท ดุดัน และเร้าใจได้ปลุกสปิริตของทีมที่เคยหายไปช่วงนึงได้กลับมาฟื้นคืนอีกครั้ง

นี่คือลิเวอร์พูลที่ดีที่สุดตลอดกาลทีมหนึ่ง

ลิเวอร์พูลภายใต้การคุมทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ทำสถิติสโมสรชนะรวดติดต่อกัน 12 นัดติด และไม่แพ้ใครเลยในศึกพรีเมียร์ลีกมา 21 นัดติดต่อกัน ทีมประกอบไปด้วยนักเตะระดับท็อปอย่างอลิสซง เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูมือหนึ่งทีมชาติบราซิลซึ่งเพิ่งคว้ารางวัล 3 ถุงมือทองคำได้เป็นคนแรก, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ นักเตะยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกที่กำลังจะกลายเป็นกองหลังคนแรกของลิเวอร์พูลที่มีโอกาสคว้าบัลลงดอร์ แผงกองกลางที่เล่นกันได้อย่างเข้าขา ลงตัวไม่ว่าจะจัดใครลงมาเล่นก็ตาม 3 ประสานแดนหน้าอย่างมาเน่, ซาลาร์ และฟีร์มีโน่ ที่พร้อมจะสร้างความลำบากใจให้แผงหลังทุกทีมไม่ว่าทีมใดก็ตาม

แชมป์ยุโรป 6 สมัยกลับพรีเมียร์ลีก

ลิเวอร์พูลคือแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกปีล่าสุดที่สร้างรายได้ให้เหล่านักพนันอย่างเป็นกอบเป็นกำในฤดูกาล 2018-2019 เรียกได้ว่าถือหางหงส์แดงไว้แทบไม่มีเสียเดิมพัน พวกเขาได้แชมป์ถ้วยใบใหญ่สุดในยุโรปนี้ถึง 6 สมัยมากกว่าโดยมีแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่คว้าแชมป์ได้ 3 สมัย เป็นอันดับรองลงมาเท่านั้น แต่มันอาจจะไม่เพียงพอสำหรับลิเวอร์พูลและแฟนบอลของพวกเขา เพราะ 30 ปีกับการรอคอยแชมป์ลีกสูงสุดมันยาวนานเกินไป ต้องยอมรับว่าคู่แข่งในการลุ้นแชมป์อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือทีมที่เล่นได้เข้าขั้นสมบูรณ์แบบเลยทีเดียวในปัจจุบัน ลิเวอร์พูลจึงจำเป็นต้องสร้างความผิดพลาดให้น้อยที่สุด หลังจากเมื่อฤดูกาลตามหลังแมนฯซิตี้เพียงหนึ่งแต้มเท่านั้น และในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะได้ครบทั้ง 4 นัดนำคู่ปรับร่วมลีกแมนเชสเตอร์ซิตี้ 2 คะแนน แม้ระยะทางที่ยังอีกยาวไกล แต่หากลิเวอร์พูลยังคงรักษาอันดับในตารางเอาไว้ได้ ตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกคงไม่ไกลเกินเอื้อมอีกแล้ว โอกาสเป็นของพวกเขาแล้ว

 

post

ปีหน้าของหงส์แดง การเดินทางต่อของเจอร์เก้น คล็อปป์และลูกทีมปัจจุบัน

ด้วยผลงานดีขึ้นต่อเนื่องตลอดการทำทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ลิเวอร์พูลได้เดินมาถึงจุดที่พวกเขาสามารถพูดได้ว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในทีมสุดยอดของยุโรปได้อีกครั้ง การเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศของรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก และการเบียดแย่งแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ต้องวัดกันจน 90 นาทีสุดท้าย ไม่ว่าจะจบฤดูกาลด้วยการได้ถ้วยอีกครั้งหรือไม่ก็ตาม มันน่าสนใจว่าปีหน้าลิเวอร์พูลจะดียิ่งกว่านี้ได้อย่างไรดี

เดือนตุลาคมของฤดูกาล 2015 คล็อปป์ถูกดึงมาแทนที่แบรนดอน ร็อดเจอร์ แม้อันดับในลีก เขาพาทีมเข้าป้ายอันดับ 8 แต่ก็เข้าชิงลีกคัพ และยูโรป้า คัพได้

สองฤดูกาลต่อมาคล็อปป์สร้างทีมด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดัน ทีมสามารถกลับไปเล่นแชมเปี้ยนลีกได้อีกครั้งด้วยการจบอันดับที่ 4 และเพียงการทำทีมเต็มฤดูกาลที่สอง เจอร์เก้น คล็อปป์ก็ส่งลิเวอร์พูลกลับไปสู่เกมนัดชิงถ้วยยุโรป แม้จะพ่ายเรอัล มาดริดในท้ายที่สุด แต่ค่ำคืนที่แอนฟิลด์ก็กลายเป็นเครื่องหมายสำคัญของทีมได้อีกครั้ง

หลังจบฤดูกาล 2017/2018 สามประสานแดนหน้าของลิเวอร์พูลกลายเป็นที่เกรงขามไม่เพียงแค่บนเกาะอังกฤษ แต่พวกเขาสั่นสะเทือนยุโรปด้วยเกมรุกอันบ้าคลั่ง เมื่อรวมกับการทุ่มซื้อผู้เล่นกองหลังอย่างเวอร์กิล ฟาน ไดจ์มาอุดรูโหว่ซึ่งได้ผลดีเยี่ยม ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่ดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา สิ่งที่เกิดขึ้นกับลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2018/2019 คือการเติมจิ๊กซอว์ที่ควรต้องทำ นายทวารฝีมือดีที่จะสร้างความอุ่นใจให้เพื่อนร่วมทีมและแฟนบอล อลิสซง เบ็คเกอร์จากโรม่า, กองหลังตัวรับจากโมนาโก ฟาบินโญ่, ตัวรุกเทคนิคดีอย่างเชอร์ดาน ชากิรี่จากเซาท์แธมตัน และนาบี้ เกอิต้าจากอาร์แบ ไลป์ซิกส์

ลิเวอร์พูลเดินหน้าอย่างต่อเนื่องด้วยการเล่นที่รัดกุมกว่าเก่า แต่ยังเฉียบคมไม่แตกต่างไปจากเดิม จนก้าวขึ้นมาครองจ่าฝูงได้ในช่วงเวลาหลังคริสต์มาส เบียดแมนเชสเตอร์ ซิตี้ให้กลายเป็นผู้ตามได้บ้าง จากนั้นการขับเคี่ยวสุดมันส์แบบเกมต่อเกมก็เริ่มต้นขึ้น

เจอร์เก้น คล็อปป์มีการปรับเปลี่ยนแผนการเล่นอยู่หลายครั้ง ตอนนี้เขาสามารถมั่นใจในทีมหลายๆ ตำแหน่ง ผู้รักษาประตูอย่างอลิสซง เบ็คเกอร์ที่ไว้วางใจได้ กองหลังภายใต้การบัญชาการของฟาน ไดจ์ แบ็คสองข้างที่เดินเกมและเปิดบอลได้ลุ้นทั้งเทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์และแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กองกลางที่เก็บบอลได้เหนียวแน่นอย่างไวนัลดุม สามประสานกองหน้าที่มีตัวทดแทนกัน มันดูน่าพึงพอใจ แต่ยังไม่ใช่ทีมที่ดีที่สุด

สิ่งที่คล็อปป์ต้องทำคือการหารูโหว่ในทีมชุดนี้ให้เจอ รูที่ต้องอุดเพื่อก้าวขึ้นไปให้สูงกว่า ตำแหน่งนายทวารเบอร์สองที่ไว้วางใจได้มากกว่าซิมง มินโญเล่ต์ กองหลังตัวกลางที่จะมายืนคู่กันกับเวอร์กิล ฟาน ไดจ์ วิงแบ็คตัวเลือกที่สองทั้งฝั่งซ้ายและขวาในยามที่ผู้เล่นบาดเจ็บ กองกลางพรสวรรค์ที่จะพาบอลทะลุทะลวงขึ้นไปสร้างอันตรายช่วยสามแนวรุก และกองหน้าตัวเป้าที่ฝากความหวังได้มากกว่าผู้เล่นอย่างดิว็อก โอริกี

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันกับการเสริมทัพคือการวางแผนสร้างนักเตะขึ้นมาเสริมรุ่นพี่ ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรที่มีอะคาเดมี่ยอดเยี่ยมที่สุดทีมหนึ่ง ตอนนี้ผู้เล่นของพวกเขาจำนวนไม่น้อยกระจายเล่นให้กับหลายสโมสรบนเกาะอังกฤษ​ทั้งในลีกแชมเปี้ยนชิพ และลีกสก็อตแลนด์ คล็อปป์จำเป็นต้องมีเวทีในทีมชุดใหญ่ให้เด็กเหล่านี้ที่ถูกประเมินว่าพร้อมเลื่อนชั้นตัวเอง

สิ่งที่สำคัญของเจอร์เก้น คล็อปป์กับลิเวอร์พูลมีสองอย่างในฤดูกาลหน้านั่นคือ การแสดงให้เห็นความแข็งแกร่งสมเป็นหนึ่งในทีมแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง และสองคือการเดินทางเข้าสู่นัดชิงแชมเปี้ยนลีกให้ได้อีกรอบ และต่อให้ทำได้ก็อาจจะแค่ดีเหมือนเดิมเท่านั้น เพราะมันจะดีกว่าเดิมก็ต่อเมื่อลิเวอร์พูลคว้าทั้งสองแชมป์มาครองได้

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดปะทะลิเวอร์พูล ศึกวันแดงเดือดที่ดุเดือดแรงร้อนกว่านัดแรกแน่นอน

การพบกันของอริร่วมเกาะอังกฤษระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกับลิเวอร์พูล ถูกยกให้เป็น Red War ที่เกาะอังกฤษ เนื่องจากทั้งสองทีมต่างมีฉายาว่า Red หรือสีแดงทั้งคู่ และเมื่อถูกแปลเป็นไทยด้วยคำเก๋ๆ ว่า “ศึกแดงเดือด” มันจึงระบุชัดเจนว่าเกมระหว่างสองทีมนี้พบกันครั้งใดต้องเตะกันอย่างถึงพริกถึงขิง

ทว่าหลายฤดูกาลแล้วที่เกมแดงเดือดไม่ได้เดือดอย่างที่แฟนบอลทั่วโลกตั้งตารอคอย ไม่ลิเวอร์พูลก็แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่หลุดจากสภาพทีมที่แข็งแกร่งไปก่อน โดยเฉพาะฤดูกาลนี้ที่เกมแดงเดือดนัดแรกที่แอนฟิลด์จบลงแบบสู้กันไม่ได้ทุกประการ

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลมีต้นฤดูกาลที่ยอดเยี่ยม พวกเขาไม่แพ้ใครอย่างยาวนานจนกระทั่งถึงนัดแดงเดือดที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดภายใต้การคุมทัพของโฆเซ่ มูริญโญ่ออกมาเยือน มีความคาดหวังถึงระดับความเดือดในเกมไว้เพียงระดับหนึ่ง  เพราะมันเป็นฤดูกาลที่ฝั่งยูไนเต็ดทำผลงานได้ไม่ดีเลย ทุกคนคาดหวังว่าอย่างน้อยในเกมที่เต็มไปด้วยศักดิ์ศรี มันควรจะมีอะไรสนุกขึ้นมาบ้าง ราคาต่อรองก่อนลงสนามเจ้าบ้านต่อ 1 ลูก ปรากฏเซียนทุกสำนักสั่งอยู่ข้างคล็อปป์หมด ผลปรากฏว่าในสนามนั้นลิเวอร์พูลเล่นได้ดีกว่าและเอาชนะได้ทุกแง่มุม จบนัดแรกของศึกแดงเดือดฤดูกาล 2018/2019 อย่างจืดชืด

ความเปลี่ยนแปลงในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดช่วงเดือนธันวาคมกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อดีตนักเตะผู้ซื่อสัตย์ของทีมได้ก้าวมาคุมทีมชั่วคราว เขาเอาบางสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณของสโมสรกลับมา และนั่นทำให้ทีมออกสตาร์ทได้ด้วยชัยชนะในลีก 5 เกมติด และวิธีการเล่นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ไม่ใช่ว่าทีมปีศาจแดงเล่นดีขึ้น พวกเขากลับไปสู่การเล่นแบบที่ควรเป็นมากกว่า ปรัชญาเกมรุกถูกนำกลับมาใช้และมันได้ผล

ลิเวอร์พูลกลับกลายเป็นทีมที่ประสบปัญหา พวกเขากำลังเผชิญกับการที่แนวรับบาดเจ็บ ซึ่งเจอร์เก้น คล็อปป์มีบทเรียนมาแล้วจากฤดูกาลที่ผ่านมา เขาเสริมทัพได้ดี มีผู้เล่นทดแทนอย่างยอดเยี่ยม แต่ข่าวร้ายคือจำนวนของผู้เล่นในแนวรับที่มีอาการบาดเจ็บดันเพิ่มสูงกว่ากว่าที่เกิดขึ้นในฤดูกาลที่แล้ว และผู้เล่นที่มีอยู่ไม่พอหมุนเวียนลงสนาม นี่จึงเป็นสาเหตุให้หงส์แดงเปิดฉากปีใหม่ด้วยการพ่ายสองเกมติด โอกาสเป็นแชมป์ยังสูงแต่มันเปิดกว้างกว่าเก่า

สถานการณ์ขาขึ้นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับขาลงของลิเวอร์พูล ทำให้แฟนบอลมองไปถึงเกมแดงเดือดที่จะเกิดขึ้นช่วงปลายกุมภาพันธ์ในมุมมองใหม่ จากที่เคยคิดหลังจบเกมที่แอนฟิลด์ว่าลิเวอร์พูลคงเอาชนะได้อีกครั้งแบบไม่ยากอะไร กลายเป็นไม่แน่เสียแล้วหากโซลชายังพาลูกทีมเล่นได้ดีอย่างนี้ต่อไป เอาฟอร์มและความพร้อมปัจจุบันเป็นหลัก เกมนี้ออกฝั่งแมนเชสเตอร์ได้ล้างแค้นแน่นอน

ราคาต่อรองเกมแดงเดือดที่โอลด์ แทร็พฟอร์ดไม่เสมอก็ ป.ป. เรื่องจะแพงถึงหนึ่งลูกคงเป็นไปได้ยาก ใครออกราคาต่อมารีบรอง แนวโน้มออกเสมอสูงเพราะลิเวอร์พูลจถึงจะไม่สมบูรณ์ ต้องแค่เรื่องเล่นเอาหนึ่งแต้มไม่น่าพลาด เพราะอย่างน้อยหนึ่งแต้มก็ยังดีกว่าไม่ได้ แถมถ้าแพ้ขึ้นมากำลังใจที่สร้างมาเพื่อการลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในรอบเกือบ 30 ปีจะหายเอา ขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ต้องการล้างอายความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ และทำอันดับเพื่อกลับไปเล่นรายการถ้วยยุโรปอีกครั้งอาจจะผิดหวังเล็กน้อย

เกมนี้แฟนบอลน่าได้รับรู้ถึงอารมณ์ความระทึกใจแบบหนังคนละม้วนกับเกมนัดแรกอย่างสิ้นเชิง และสีสันของเกมที่ทุกคนตั้งตาคอย ก็น่าจะออกมาสมกับที่มันได้รับฉายาว่า “แดงเดือด” อีกครั้งเสียที

ลิเวอร์พูลกับโอกาสผ่านบาเยิร์นสู่รอบต่อไปของแชมเปี้ยนส์ลีก

พลันที่ผลการจับสลากประกบคู่รอบน็อคเอ้าท์ของรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกออกมาเป็นลิเวอร์พูลพบบาเยิร์น มิวนิค หลายสโมสรที่รอดจากการเจอลิเวอร์พูลก็พากันถอนหายใจยาว และเป็นบาเยิร์น มิวนิคที่ต้องหนักใจว่าพวกเขาจะรับมือกับลิเวอร์พูลอย่างไร

โดยชื่อชั้นแล้วบาเยอร์น มิวนิคไม่มีความจำเป็นต้องกลัวเกรงลิเวอร์พูลแม้แต่น้อย ราคาบ่อนพนันปล่อยให้เป็นแชมป์หงส์แพงกว่า 11/1 แต่บาเยิร์นไม่ห่างเลยที่ 21/1 ถึงอย่างนั้นเครดิตเกมยุโรปของลิเวอร์พูลดีมาก พวกเขามีพลังแฝงที่น่ากลัวยิ่งกว่าตัวตนของทีม นั่นเพราะค่ำคืนในเวทียุโรปของลิเวอร์พูลมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่จนยากเอาชนะ สาวกในแอนฟิลด์คือกำแพงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านขวางทางคู่แข่งทุกทีม และมันคือป้อมปราการที่ช่วยให้ลิเวอร์พูลก้าวไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ ในการลงเล่นถ้วยยุโรปหลายครั้งหลายหนตลอดหลายปีมาแล้ว

เกมนัดสุดท้ายของลิเวอร์พูลในรอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาหลังพิงฝาที่ต้องชนะสถานเดียวเหนือนาโปลี และมันก็จบลงด้วยชัยชนะ 1-0 ตามที่สโมสรเจ้าบ้านต้องการ ย้อนไปในเกมพบดอร์ทมุนด์ในยูโรป้าลีกปีก่อน พวกเขาก็ใช้เกมที่บ้านคว่ำผู้มาเยือนอย่างสุดมันส์ ยังไม่รวมเกมชี้เป็นชี้ตายนัดเจอโอลิมเปียกอสหลายปีก่อน หรือเกมที่พวกเขาถล่มโรม่าในรอบรองชนะเลิศปีที่แล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นภายใต้มนตร์ขลังและพลังวิเศษที่เกิดขึ้นในแอนฟิลด์ทั้งนั้น

ในนาทีนี้ลิเวอร์พูลเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ทำแต้มห่างรองจ่าฝูง 4 แต้ม และมีเกมสำคัญเพียงแค่ฟุตบอลลีกและฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกเท่านั้นที่พวกเขาจะต้องลงเล่น หลังจากที่หมดภารกิจในฟุตบอลถ้วยรายการอื่นอย่างรวดเร็ว บางคนมองว่านี่เป็นหมากที่ลิวเอร์พูลวางไว้โดยทิ้งถ้วยเล็กกว่าไป ทั้งที่ความจริงแล้วมันก็เกิดขึ้นได้เนื่องจากลิเวอร์พูลเผชิญปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่น

แต่ดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลไม่ใช่ทีมเดียวที่ต้องเผชิญปัญหา เนื่องจากคู่แข่งของพวกเขาต้องขาดผู้เล่นสำคัญอย่างโธมัส มุลเล่อร์ที่ติดโทษแบนทั้งสองเกมในการเจอกัน แถมด้วยอาร์เยน ร็อบเบ็นที่มีข่าวเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บอย่างไม่มีกำหนดกลับมาลงสนาม ซึ่งมันอาจจะไปเกิดขึ้นในช่วงที่ทีมลงทำการแข่งขันกันพอดี เนื่องจากปีนี้ทั้งปี ร็อบเบ็นเองก็ได้ลงไม่สม่ำเสมอเพราะอาการบาดเจ็บมาตลอด

นอกจากนี้ผู้จัดการทีมอย่างนิโก้ โควัชก็ยังเผยให้เห็นถึงประสบการณ์ที่ยังไม่ช่ำชองในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ต่างจากเจอร์เก้น คล็อปป์ที่กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวางหมากและแก้เกม โดยเขาสามารถที่จะพาลิเวอร์พูลผ่านสถานการณ์สำคัญๆ ได้ตามแผนที่วางไว้อย่างแยบยล แถมยังหมุนเวียนนักเตะได้ค่อนข้างดี แม้อาการบาดเจ็บของแนวรับจะกลายเป็นปัญหาใหญ่มากก็ตามที

ดูทรงจากตรงนี้ลิเวอร์พูลมีโอกาสดีที่จะผ่านบาเยิร์น มิวนิคเข้าสู่รอบต่อไปของฟุตบอลถ้วยใหญ่ยุโรปได้ไม่ยาก เอาชนะที่แอนฟิลด์แบบไม่เสียประตูสัก 2-0 และบุกไปยันเสมอ 0-0 หรือ 1-1 ถึงมิวนิคก็จบเรื่อง และมันคงไม่ยากที่จะผ่านเข้ารอบต่อๆไป อีกเหมือนที่พวกเขาทำได้ในฤดูกาลที่แล้วจนได้เข้าไปเล่นนัดชิงชนะเลิศ

 

ลิเวอร์พูลกับหนทางสู่แชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 29 ปี

ประวัติศาสตร์ 126 ปีของสโมสรจากเมืองลิเวอร์พูล พวกเขาเคยสามารถที่จะยกตัวเองเป็นเบอร์หนึ่งของลีกฟุตบอลเมืองผู้ดีด้วยการเป็นแชมป์ดิวิชั่น 1 ได้มากถึง 18 สมัย ไม่เพียงเท่านั้นยังออกไปครองความยิ่งใหญ่ในเวทียุโรปด้วยการเป็นแชมป์ยูโรปเปี้ยน คัพ 5 สมัยมากกว่าทุกสโมสรร่วมเกาะอังกฤษ แต่ว่าพวกเขาไม่เคยได้สัมผัสแชมป์ลีกสูงสุดมานานถึง 29 ปีเข้าไปแล้ว

ในฤดูกาล 1989-1990 เป็นหนสุดท้ายที่พวกเขาได้ชูถ้วยเบอร์หนึ่งของประเทศ จากนั้นก็ได้แต่มองดูคู่แข่งทีมอื่นหมุนเวียนกันชูถ้วยแชมป์ และต้องเจ็บปวดใจเมื่อเห็นคู่แข่งสำคัญอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเก็บจำนวนแชมป์แซงหน้าพวกเขาไป มันทำให้พวกเขาตกอันดับลงมาจากทีมอันดับหนึ่ง และวนเวียนอยู่กับแค่คำว่าเข้าใกล้โอกาสได้เป็นแชมป์เท่านั้น

การมาของเจอร์เก้น คล็อปป์ในฤดูกาล 2015 ได้นำพาความหวังมาสู่สโมสรลิเวอร์พูล พวกเขากลายเป็นทีมที่มีเอกลักษณ์ในการเล่นโดดเด่นขึ้นมา แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะขึ้นมาทาบคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชลซีและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ รวมไปถึงสเปอร์ด้วย แต่เจอร์เก้น คล็อปป์ก็ทำให้เห็นว่าเขากำลังค่อยๆ ต่อจิ๊กซอว์ของสโมสรให้กลายเป็นรูปที่สมบูรณ์

ฤดูกาล 2017-2018 ลิเวอร์พูลมีรูปร่างหน้าตาของทีมที่ชัดเจน ระบบเกเก้นเพรสซิ่งที่ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันใช้ได้รับการยกย่องว่ามันทำให้ลิเวอร์พูลมีความอันตรายในทุกจังหวะ แต่ปัญหาเรื่องความผิดพลาดของผู้เล่น และขนาดของทีมที่อ่อนแอลงยามเผชิญปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บ ทำให้ลิเวอร์พูลยังไม่ประสบความสำเร็จใดๆ พวกเขาได้แค่อันดับสี่ในลีกและเป็นได้แค่รองแชมป์ฟุตบอลถ้วยยุโรป

หนทางสู่แชมป์พรีเมียร์ลีกของลิเวอร์พูลเริ่มต้นตั้งแต่จบเกมนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก พวกเขาทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เจอร์เก้น คล็อปป์เริ่มต้นต่อจิ๊กซอว์อีกครั้งจนเป็นที่มาของการคว้าตัวอลิสซง เบ็คเกอร์ นายทวารที่แพงที่สุดในโลก(ตอนนั้น) เมื่อได้ผู้รักษาประตูชั้นดี มีกองหลังที่บัญชาการโดยเวอร์กิล ฟาน ไดค์ มีกองกลางและกองหน้าที่เพิ่มจากสามประสานเป็นสี่ประสาน โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่และเชอร์ดาน ชากิรี่ ลิเวอร์พูลก็แข็งแกร่งขึ้นมาในอีกระดับ ที่สำคัญพวกเขาดูเหมือนจะมีสิ่งที่ทุกสโมสรต้องการ นั่นคือมีดวงประกอบ

ลิเวอร์พูลออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรตั้งแต่เปลี่ยนจากดิวิชั่น 1 เดิมมาเป็นพรีเมียร์ลีก การยึดจ่าฝูงและมีแต้มทิ้งห่างแชมป์เก่าอย่างน้อยๆ 4 คะแนนทำให้พวกเขาพลาดได้ 1 เกมแบบไม่ต้องกังวลใจ และการเล่นที่ค่อนข้างหวังผลชัยชนะได้ในเกมที่ต้องชนะ มีแต้มในเกมที่เกือบพลาดได้ทุกครั้ง จบช่วงเทศกาลบ็อกซิ่งเดย์ หงส์แดงเป็นจ่าฝูงแบบห่างๆ ถ้าเอาสถิติย้อนหลังมากาง จ่าฝูงในวันปีใหม่ส่วนใหญ่ได้แชมป์

ราคาต่อรองลิเวอร์พูลจะคว้าแชมป์สำเร็จถูกปรับเป็นเต็งหนึ่งเป็นครั้งแรก และเป็นราคาที่แทงไว้ก็ไม่เสียหายเพราะความเป็นไปได้สูงพอตัว จริงอยู่ว่าเส้นทางการแข่งยังเหลืออีกเกินสิบนัด แต่ตัวตนของลิเวอร์พูลตอนนี้กุมความได้เปรียบเอาไว้มากพอที่จะสามารถมองถึงการเป็นแชมป์ได้เกิน 60% เพียงแต่พวกเขาก็ต้องเตือนสติตัวเองไว้เสมอว่ามันจะจบก็ต่อเมื่อพวกเขาคว้าแชมป์แล้วจริงๆ เท่านั้น ระหว่างนี้ก็แค่ทำงานให้ดีที่สุดเหมือนที่กำลังทำอยู่ต่อไป ถ้ายังทำแบบนี้ได้เรื่อยๆ ทีละเกมๆ พวกเขาจะได้สิ้นสุดการรอคอยเสียที