ประวัติศาสตร์ 126 ปีของสโมสรจากเมืองลิเวอร์พูล พวกเขาเคยสามารถที่จะยกตัวเองเป็นเบอร์หนึ่งของลีกฟุตบอลเมืองผู้ดีด้วยการเป็นแชมป์ดิวิชั่น 1 ได้มากถึง 18 สมัย ไม่เพียงเท่านั้นยังออกไปครองความยิ่งใหญ่ในเวทียุโรปด้วยการเป็นแชมป์ยูโรปเปี้ยน คัพ 5 สมัยมากกว่าทุกสโมสรร่วมเกาะอังกฤษ แต่ว่าพวกเขาไม่เคยได้สัมผัสแชมป์ลีกสูงสุดมานานถึง 29 ปีเข้าไปแล้ว

ในฤดูกาล 1989-1990 เป็นหนสุดท้ายที่พวกเขาได้ชูถ้วยเบอร์หนึ่งของประเทศ จากนั้นก็ได้แต่มองดูคู่แข่งทีมอื่นหมุนเวียนกันชูถ้วยแชมป์ และต้องเจ็บปวดใจเมื่อเห็นคู่แข่งสำคัญอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเก็บจำนวนแชมป์แซงหน้าพวกเขาไป มันทำให้พวกเขาตกอันดับลงมาจากทีมอันดับหนึ่ง และวนเวียนอยู่กับแค่คำว่าเข้าใกล้โอกาสได้เป็นแชมป์เท่านั้น

การมาของเจอร์เก้น คล็อปป์ในฤดูกาล 2015 ได้นำพาความหวังมาสู่สโมสรลิเวอร์พูล พวกเขากลายเป็นทีมที่มีเอกลักษณ์ในการเล่นโดดเด่นขึ้นมา แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะขึ้นมาทาบคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชลซีและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ รวมไปถึงสเปอร์ด้วย แต่เจอร์เก้น คล็อปป์ก็ทำให้เห็นว่าเขากำลังค่อยๆ ต่อจิ๊กซอว์ของสโมสรให้กลายเป็นรูปที่สมบูรณ์

ฤดูกาล 2017-2018 ลิเวอร์พูลมีรูปร่างหน้าตาของทีมที่ชัดเจน ระบบเกเก้นเพรสซิ่งที่ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันใช้ได้รับการยกย่องว่ามันทำให้ลิเวอร์พูลมีความอันตรายในทุกจังหวะ แต่ปัญหาเรื่องความผิดพลาดของผู้เล่น และขนาดของทีมที่อ่อนแอลงยามเผชิญปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บ ทำให้ลิเวอร์พูลยังไม่ประสบความสำเร็จใดๆ พวกเขาได้แค่อันดับสี่ในลีกและเป็นได้แค่รองแชมป์ฟุตบอลถ้วยยุโรป

หนทางสู่แชมป์พรีเมียร์ลีกของลิเวอร์พูลเริ่มต้นตั้งแต่จบเกมนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก พวกเขาทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เจอร์เก้น คล็อปป์เริ่มต้นต่อจิ๊กซอว์อีกครั้งจนเป็นที่มาของการคว้าตัวอลิสซง เบ็คเกอร์ นายทวารที่แพงที่สุดในโลก(ตอนนั้น) เมื่อได้ผู้รักษาประตูชั้นดี มีกองหลังที่บัญชาการโดยเวอร์กิล ฟาน ไดค์ มีกองกลางและกองหน้าที่เพิ่มจากสามประสานเป็นสี่ประสาน โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่และเชอร์ดาน ชากิรี่ ลิเวอร์พูลก็แข็งแกร่งขึ้นมาในอีกระดับ ที่สำคัญพวกเขาดูเหมือนจะมีสิ่งที่ทุกสโมสรต้องการ นั่นคือมีดวงประกอบ

ลิเวอร์พูลออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรตั้งแต่เปลี่ยนจากดิวิชั่น 1 เดิมมาเป็นพรีเมียร์ลีก การยึดจ่าฝูงและมีแต้มทิ้งห่างแชมป์เก่าอย่างน้อยๆ 4 คะแนนทำให้พวกเขาพลาดได้ 1 เกมแบบไม่ต้องกังวลใจ และการเล่นที่ค่อนข้างหวังผลชัยชนะได้ในเกมที่ต้องชนะ มีแต้มในเกมที่เกือบพลาดได้ทุกครั้ง จบช่วงเทศกาลบ็อกซิ่งเดย์ หงส์แดงเป็นจ่าฝูงแบบห่างๆ ถ้าเอาสถิติย้อนหลังมากาง จ่าฝูงในวันปีใหม่ส่วนใหญ่ได้แชมป์

ราคาต่อรองลิเวอร์พูลจะคว้าแชมป์สำเร็จถูกปรับเป็นเต็งหนึ่งเป็นครั้งแรก และเป็นราคาที่แทงไว้ก็ไม่เสียหายเพราะความเป็นไปได้สูงพอตัว จริงอยู่ว่าเส้นทางการแข่งยังเหลืออีกเกินสิบนัด แต่ตัวตนของลิเวอร์พูลตอนนี้กุมความได้เปรียบเอาไว้มากพอที่จะสามารถมองถึงการเป็นแชมป์ได้เกิน 60% เพียงแต่พวกเขาก็ต้องเตือนสติตัวเองไว้เสมอว่ามันจะจบก็ต่อเมื่อพวกเขาคว้าแชมป์แล้วจริงๆ เท่านั้น ระหว่างนี้ก็แค่ทำงานให้ดีที่สุดเหมือนที่กำลังทำอยู่ต่อไป ถ้ายังทำแบบนี้ได้เรื่อยๆ ทีละเกมๆ พวกเขาจะได้สิ้นสุดการรอคอยเสียที