post

สถานการณ์ฟุตบอลลีกยุโรปเดินทางสู่ช่วงท้ายของฤดูกาล 2019 ในขณะที่บรรดาลีกอื่นๆ ของยุโรปทยอยได้แชมป์กันไป พรีเมียร์ลีกกลับยังอยู่ในช่วงเวลาบดบี้หาแชมป์อยู่เลย ยิ่งสองทีมทั้งลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ต่างผลัดกันพลิกแซงขึ้นเป็นจ่าฝูงแบบแฟนบอลก็ได้แต่เสียวไส้หายใจหายคอไม่ทันตามไปด้วย

เคยมีการตั้งคำถามว่าทำไมลีกฟุตบอลของอังกฤษถึงได้กลายเป็นลีกเบอร์หนึ่งสำหรับแฟนบอลมาโดยตลอด ทำไมมันเป็นลีกที่ทำเงินรายได้จากสปอนเซอร์ได้มากมาย ทำไมมันได้รับความนิยมระดับที่ค่าลิขสิทธิ์สำหรับถ่ายทอดสดนั้นลีกอื่นสู้ไม่ได้ ทั้งที่สโมสรฟุตบอลจากอังกฤษไม่ใช่เบอร์หนึ่งของวงการฟุตบอล ผู้เล่นเบอร์หนึ่งของโลกก็ไม่ได้เล่นในลีกนี้ รวมถึงอังกฤษก็เป็นแค่ชาติที่ไม่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลระดับนานาชาติด้วยซ้ำ คำตอบอยู่ที่ลีกอังกฤษสู้กันได้ถึงพริกถึงขิงกว่าใครเพื่อนนี่เอง

ต่อให้ไม่ใช่แฟนบอลอังกฤษ ​แต่ทุกคนที่ชื่นชอบการดูฟุตบอลย่อมรู้สึกได้ว่าในพรีเมียร์ลีก พวกเขาสู้กันอย่างเอาจริงเอาจังมากกว่า ตลอด 27 ปีของพรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดประกาศศักดาคว้าชัยไปเกือบครึ่งหนึ่งคือเป็นแชมป์ 13 ครั้ง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นทีมที่เหนือกว่าใคร เพราะเส้นทางการได้แชมป์ในแต่ละปีนั้นไม่ได้ง่ายดาย ช่วงทศวรรษที่ 2000 (ฤดูกาล 2000/2001-2009/2010) แม้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะยังคงเป็นทีมที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้มากที่สุด แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญกับการมีคู่แข่งสำคัญที่คอยเบียดคอยแซะให้หล่นจากบัลลังก์สโมสรเบอร์หนึ่งของเกาะซึ่งเรียกรวมกันว่าเป็นท็อปโฟร์ได้แก่ อาร์เซนอล เชลซีและลิเวอร์พูล สามทีมนี้ต่างสร้างทีมขึ้นมาเบียดสู้ในเส้นทางสู่แชมป์ สองทีมจากลอนดอนต่างทำได้สำเร็จ ส่วนลิเวอร์พูลทำได้แค่เกือบ แต่เหนืออื่นได้ ทั้งสี่ทีมนี้ต่างยึดตำแหน่งที่ 1-4 ของตารางขนาดได้เสมอ ยิ่งจากฤดูกาล 2005/2006-2008/2009 เป็น 5 ฤดูกาลที่พวกเขาไม่เคยหลุดจาก 4 ทีมแรก

เป็นลีกอื่นความต่างชั้นของสโมสรนับวันมีแต่จะยิ่งห่าง แต่ไม่ใช่ที่พรีเมียร์ลีก เมื่อก้าวเข้าทศวรรษที่ 2010 (ฤดูกาล 2010/2011-ปัจจุบัน) สโมสรหน้าใหม่อีก 2 ทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ก้าวขึ้นมาสู้ด้วยการทุ่มเงินของเจ้าของสโมสรรายใหม่ ผู้เล่นชั้นยอดที่ถูกกวาดเข้าสู่สโมสรพาทีมเฉือนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในช่วงเวลาก่อนเสียงนกหวีดจบฤดูกาล 2011/2012 และไม่เคยพลาดอันดับ 1-4 ตั้งแต่ขึ้นทศวรรษนี้มา หรือสเปอร์ที่มักจะป้วนเปี้ยนอยู่ในลำดับที่ 5-8 ทุกฤดูกาลก่อนนั้นได้ก็ยกตัวเองมาอยู่ในอันดับที่ 5 อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งขยับขึ้นมาเป็นทีมในโควตาแชมเปี้ยนส์ลีกได้ตลอดสี่ปีหลังสุด พวกเขาสถาปนาการแข่งขันในกลุ่มบิ๊กซิกส์ขึ้นมาแทนท็อปโฟร์

เมื่อกวาดตามองไปทั่วยุโรป การจะหาลีกที่มีการแข่งขันดุเดือดมากขนาดนี้ได้ยากมาก แต่ละลีกต่างมีทีมที่ผูกขาดการเป็นแชมป์อยู่เพียงทีมเดียว อย่างเยอรมันทุกปีก็ยังคงเป็นบาเยิร์น มิวนิค หรืออิตาลีก็มียูเวนตุส การมีทีมอื่นแซงคว้าแชมป์ได้ก็เป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน หรืออย่างในสเปนกับฝรั่งเศสเองก็จะมีแค่ 2-3 ทีมที่ได้ลุ้น แต่สุดท้ายทีมได้แชมป์ก็ไม่พ้นสโมสรเดิมๆ กลับกันเมื่อย้อนมองไปยังพรีเมียร์ลีก ทุกสโมสรต่างได้ลุ้นเบียดสู้กันอยู่ทุกเวลา ความเชื่อที่ว่าสามารถเป็นแชมป์ได้หมุนเวียนอยู่ในมือทีมเหล่านี้ แต่ไม่ได้แปลว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อสโมสรที่คนไม่คาดคิดอย่างเลสเตอร์ ซิตี้ยังสามารถเบียดขึ้นมาคว้าแชมป์ที่คนเอาใจช่วยทั้งโลก

แมนเชสเตอร์ ซิตี้และลิเวอร์พูลทำแต้มเบียดกันไปมาตลอดตั้งแต่เปิดฤดูกาลจนถึงท้ายฤดูกาล 2019 ตราบที่ไม่หมดเสียงนกหวีดจบเกมนัดที่ 38 ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2019 การลุ้นแชมป์ก็ยังไม่จบ และแม้สุดท้ายจะได้ผลแพ้ชนะว่าใครครองแชมป์ไปได้ หลังจบเกมแฟนบอลก็คงจะกล่าวถึงฤดูกาลนี้ในฐานะความมันส์อันดับหนึ่งของลีกจากทั่วยุโรปประจำปีอย่างแน่นอน