ถือว่าปิดฤดูกาลไปอย่างสวยงามสำหรับแฟนบอลและคนที่ถือหางเดิมพันข้างสิงโตน้ำเงินครามเชลซี ที่สามารถทำอันดับไปเล่นแชมเปียนส์ลีกลีกได้ในฤดูกาลหน้าแม้ว่าพวกเขาจะโดนห้ามซื้อขายนักเตะไปถึง 1 รอบตลาดก็ตาม แต่ด้วยฝีมือการคุมทีมของตำนานเบอร์ 8 อย่างแฟรงค์ แลพพาร์ดที่พาลูกทีมวัยผสมกลับสู่เส้นทางไปเล่นถ้วยใหญ่ในฤดูกาลหน้าได้สำเร็จในอันดับที่ 4 รวมถึงผลงานในฟุตบอลถ้วยที่เขาสามารถพาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศในรายการเก่าแก่ของประเทศอังกฤษอย่างเอฟเอ คัพ แม้จะพลาดท่าเสียทีให้ทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่างไอ้ปืนใหญ่อาร์เซนอลก็ตาม แต่โดยรวมแล้วถือว่าเป็นปีที่ไม่เลวของแลมพ์ในฐานะกุนซือหน้าใหม่คนนี้
ผลงานในพรีเมียร์ลีก
ว่ากันว่าพรีเมียร์ลีกอังกฤษถือว่าเป็นลีกฟุตบอลที่มีความหินมากที่สุดลีกหนึ่งในโลก ทั้งกับการลงแตะและเลือกข้างเดิมพัน โดยมักเต็มไปด้วยดาวดังและผู้จัดการทีมยอดฝีมืออยู่มากมาย แต่สโมสรยักษ์ใหญ่อย่างเชลซีกลับเลือกผู้จัดการทีมระดับแชมป์เปี้ยนชิพอย่างแฟรงค์ แลมพาร์ดเข้ามาคุมทีมในปี 2019/2020 ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเป็นตำนานของทีมและเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในช่วงวิกฤติศรัทธา ของสโมสรเนื่องจากการคุมทีมของนายใหญ่คนเก่าอย่างเมารีซิโอ ซาร์รี่มีความเอาแต่ใจมากจนเกินไปพร้อมกับเป็นช่วงที่ทีมไม่สามารถเสริมทัพจึงทำให้แลมพ์พาร์ดที่นิยมปั้นดาวรุ่งในทีมจึงได้รับโอกาสนี้ ซึ่งตำนานของทีมก็ไม่ได้ทำให้แฟนผิดหวังเมื่อสามารถจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 โดยเอาชนะคู่แข่งได้ถึง 20 นัดมากกว่าอันดับ 3 อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเสียอีก ซึ่งจุดอ่อนของทีมก็คือกองหลังที่ไม่แข็งแกร่งมากนักจนทำให้ทีมเสียประตูได้ง่าย แต่ข้อดีก็คือขุมกำลังเกมรุกที่เฉียบคมที่มีแทมมี่ อิบราฮัมกองหน้าตัวความหวังที่ทำประตูได้ถึง 15 ประตูด้วยกัน และส่งผลให้ทีมทำประตูในลีกได้ถึง 69 ลูกเป็นรองเพียงแค่สองทีมแรกในตารางอย่างลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้เท่านั้น
ผลงานบอลถ้วย
เรื่องที่น่าเจ็บใจที่สุดของฤดูกาลนี้ก็คือเชลซีสามารถเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพได้ในปีแรกที่มีแลมพ์พาร์ดเข้ามาคุมแต่ทว่าเขากลับพลาดท่าแพ้อาร์เซนอลไปอย่างน่าเสียดายทั้งที่ทีมสิงห์น้ำเงินได้โอกาสขึ้นนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 5 แต่กลับมาโดนทีเด็ดจากปิแอร์ เอเมอร์ริค โอบาเมยองทำสองประตูรวดแซงเอาชนะไปได้ รวมทั้งการชิงแชมป์ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพที่ต้องแข่งกับลิเวอร์พูลคู่ปรับในประเทศ และเป็นพวกเขาที่ขึ้นนำได้ก่อนอีกครั้งแต่กลับโดนตีเสมอ แล้วไปดวลจุดโทษแพ้ให้กับหงส์แดงในท้ายที่สุด ก่อนที่ทางด้านถ้วยใบใหญ่ของยุโรปอย่างแชมเปียนส์ลีกลีก พวกเขาจะมาพ่ายให้กับบาเยิร์น มิวนิคแบบหมดลุ้นไปด้วยสกอร์รวม 7-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย และจบฤดูกาลไปแบบมือเปล่า
เป็นที่เข้าใจได้ว่าทีมของแลมพ์พาร์ดมีความเสียเปรียบโดยเฉพาะการเสียโอกาสซื้อนักเตะใหม่เข้าทีมทำให้เขามีทรัพยากรอย่างจำกัด แต่ปลายทางแล้วแลมพ์ยังมีผลงานคุมทีมที่ดีกว่าความคาดหวังของแฟนบอล เพราะทั้งประสบการณ์และตัวผู้เล่นที่ไม่แข็งแกร่งเหมือนอย่างเก่า ทว่าสิงโตน้ำเงินครามยังจบอันดับด้วยการไปเล่นฟุตบอลยุโรปและยังสามารถเข้าชิงบอลถ้วยได้อีกด้วย ทำให้ผลงานของซุปเปอร์แฟรงค์อยุ่ในระดับ 7 เต็ม 10 หรือเข้าตากรรมการนั่นเอง