post

เมื่อปราสาทสายฟ้าไม่ปัง คู่แข่งในเวทีไทยลีกต้องยกระดับตัวเอง

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดตัวแทนหนึ่งเดียวของไทยลีกที่ได้ร่วมแข่งขันรายการชิงแชมป์สโมสรเอเชียตกอยู่ในสภาพจมบ๊วยของกลุ่มจี ลงเล่น 5 นัดชนะได้ 1 นัดแต่แพ้ไปถึง 4 เกม มีเพียง 3 คะแนนเท่านั้น ถือเป็นอีกฤดูกาลที่สโมสรมีผลลัพธ์ในเกมระดับทวีปแบบไม่น่าประทับใจเลย

หลังจากทำผลงานได้อย่างสุดยอดจนผ่านเข้าไปเล่นถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้ในฤดูกาล 2013 บุรีรัมย์ก็ทำผลงานได้ดีเพียงระดับหนึ่งในช่วงเวลาหลังจากนั้น ทีมยังคงคว้าสิทธิ์ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มได้ถึง 3 ครั้งติดแต่ก็จอดแค่ตรงนั้น ไม่สามารถผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ได้

ในปี 2016 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดจบไทยลีกด้วยอันดับ 4 พลาดสิทธิ์คว้าตั๋วลุยศึกระดับเอเชีย จนเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรสั่งปรับทีมขนานใหญ่ ทีมกลับมาเป็นแชมป์ไทยลีกในฤดูกาล 2017 และได้เป็นตัวแทนลุยเอซีแอลอีกครั้ง และเป็นดิโอโก้ หลุยส์ ซานโตที่ยิงระเบิดเถิดเทิงพาทีมเข้ารอบ 16 ทีมได้เป็นครั้งที่สองของสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดเปิดบ้านนัดแรกชนะชนบุก ฮุนได มอเตอร์จากเกาหลีใต้ 3-2 แต่ไม่สามารถรักษาผลที่ดีได้ในการไปเยือนบ้าง โดยแพ้ไป 2-0 ถึงอย่างนั้นก็มีความมั่นใจว่าในปีหน้าบุรีรัมย์จะทำได้ดียิ่งขึ้นไปอีก ถ้าสามารถคว้าสิทธิ์มาร่วมศึกได้อีกครั้ง

สโมสรปราสาทสายฟ้าจากจังหวัดบุรีรัมย์ทำได้สำเร็จด้วยการเป็นแชมป์ไทยลีกในปี 2018 อีกครั้ง แต่การเสียดิโอโก้ ดาวซัลโวที่เป็นกำลังหลักของทีมมาในช่วงหลายปีหลัง ทำให้เแฟนบอลและกูรูมองว่าทีมจะขาดประสิทธิภาพในการทำประตูไปอย่างมากแน่ แม้เจ้าของสโมสรและผู้บริหารจะมองต่างไป แต่ความจริงที่ปรากฏคือบุรีรัมย์มีสถิติการทำประตูที่แย่ลงอย่างชัดเจน จำนวนประตูที่ทำได้เพียง 3 ลูกจาก 5 เกม และผลต่าง -7 มันคือแผลสดขนาดใหญ่ที่บุรีรัมย์ต้องยอมรับ พวกเขามั่นใจอย่างเดียวไม่ได้ ทีมต้องมีความพร้อมจริงๆ เท่านั้นจึงจะต่อกรกับบรรดาทีมยักษ์ร่วมทวีปทีมอื่นๆ ได้

ผลพวงจากการที่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดเชื่อมั่นว่าพวกเขาสามารถใช้ดาวรุ่งเป็นแกนหลักของสโมสรในถ้วยเอเชียปีนี้ แสดงให้เห็นถึงความต่างระดับของผู้เล่นระดับเล่นไทยลีกสบายๆ กับการเผชิญหน้าคู่แข่งในระดับชิงแชมป์เอเชียได้ชัดเจน นักเตะหลายคนแสดงให้เห็นถึงความหวังที่พอเป็นไปได้ แต่อีกหลายคนเหมือนเจอทางตันที่จะไปต่อ ยังไม่รวมในแง่ของแท็คติกและแผนการเล่นที่ขาดความแน่นอน ขาดประสิทธิภาพและขาดแรงกระตุ้น

เนวิน ชิดชอบ ออกมายอมรับว่าในปีนี้ทีมทำผลงานได้ไม่ดีอย่างที่ตั้งใจไว้ นับจากปี 2013 มาถึงตอนนี้ ครบ 5 ปีที่เขาเคยประกาศว่าจะพาบุรีรัมย์ทะยานขึ้นท็อปไฟว์ของเอเชีย ซึ่งถูกพิสูจน์แล้วว่าการทำให้มันเป็นความจริงนั้นยากกว่าแค่คิด บุรีรัมย์อาจจะพัฒนาขึ้นมาอย่างมาก กลายเป็นทีมที่ยากต่อการเอาชนะของสโมสรในเมืองไทย แต่พวกเขาก็ยังไม่แข็งแกร่งพอในระดับที่สูงกว่า

มีคำกล่าวว่านักสู้ฝีมือจะดีขึ้นได้ต้องมีคู่แข่งที่ทัดเทียมกัน แต่เมื่อกวาดตาไปรอบๆ บุรีรัมย์โดดเดียวอยู่บนเวทีไทยลีก จากที่เคยสู้กับชลบุรี เอฟซีแบบถึงพริกถึงขิง จากที่เคยปะทะกับเมืองทอง ยูไนเต็ดได้แบบไม่มีใครยอมใคร ตอนนี้ไม่มีทีมที่สมน้ำสมเนื้อกับพวกเขาเลย ไม่มีทีมที่ดีพอจะคว่ำพวกเขาลงได้แม้ในช่วงที่ทีมดูอ่อนกำลังลงแบบตอนนี้ด้วยซ้ำไป เมื่อไร้คู่แข่งจะช่วยขัดเกลาให้บุรีรัมย์ทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ปราสาทสายฟ้าก็เลยเหมือนหยุดนิ่งอยู่ในจุดที่ไม่มีแรงผลักดันใดๆ ให้ทีมต้องตื่นตัวหรือหิวกระหายชัยชนะเหมือนเคยผ่านมา

มันยากที่จะหาคู่แข่งที่จะเบียดแบบไหล่ชนไหล่กับบุรีรัมย์ได้ในเวลานี้ จริงอยู่ว่าหลายสโมสรในไทยลีกเริ่มสร้างแนวทางที่จะกลายเป็นทีมที่เดินตามรอยบุรีรัมย์ไปยังเวทีระดับเอเชีย แต่ดอกผลของมันยังไม่เกิดขึ้น ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีความหวังว่าทีมต่างๆ จะเอาจริงเอาจังกับมันเมื่อโอกาสสูงที่ไทยลีกจะได้โควตาเข้าเล่นระดับเอเชียในปีหน้าเพิ่มแบบอัตโนมัติจาก 1 เป็น 2 ทีม และนั่นคงเป็นการดีที่บุรีรัมย์จะได้เจอทีมที่พยายามไล่จี้พวกเขาให้กระชั้นชิดมากขึ้น

 

post

วันที่นักเตะไทยถูกแฟนบอลเจลีกตามเชียร์แบบเต็มภาคภูมิ

นับตั้งแต่ชนาธิป สรงกระสินธุ์ย้ายไปร่วมทีมคอนซาโดลเล่ ซัปโปโร่ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล 2017 กลายเป็นผู้เล่นไทยคนแรกที่ลงเล่นในฟุตบอลลีกที่ได้ชื่อว่าเป็นเบอร์หนึ่งของเอเชีย ดาวเตะร่างเล็กได้งัดเอาฝีเท้าเป็นตัวพิสูจน์ถึงความสามารถ ก้าวผ่านจากจุดที่เพื่อนร่วมทีมไม่เชื่อมั่นขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของทีมได้ บรรดาทีมในเจลีกทั้งหมดและแฟนบอลญี่ปุ่นได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของนักเตะไทยฝีเท้าดีตั้งแต่ตอนนั้น

ฤดูกาล 2018 ชนาธิป สรงกระสินธุ์ถูกซื้อขาดจากสโมสรต้นสังกัดที่เมืองไทย กลายเป็นผู้เล่นอาชีพที่มีค่าตัวแพงที่สุดของประเทศ พร้อมด้วยนักเตะไทยอีกสองรายที่มีโอกาสตามไปสมทบเพื่อลงเล่นในเวทีเจลีก ธีรศิลป์ แดงดา ย้ายไปร่วมทัพซานเฟสเซ่ ฮิโรชิม่าและธีราทร บุญมาทันกับทีมวิสเซิ่ล โกเบ ซึ่งผลงานสามนักเตะไทยก็ออกมาดีอย่างมาก ชนาธิปเกือบพาทีมไปเล่นฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรเอเชีย และติดผู้เล่นยอดเยี่ยมของเจลีก ธีรศิลป์ช่วยให้ต้นสังกัดเกือบคว้าแชมป์ ขณะที่ธีราทรก็เป็นผู้เล่นที่ได้รับโอกาสลงสนามสม่ำเสมอ

นักเตะไทยกลายเป็นที่จับตามอง เกิดสกู๊ปพิเศษในสื่อมวลชนญี่ปุ่นทุกครั้งที่มีเกมที่นักเตะไทยลงพบกันเอง พวกเขาพยายามนำเสนอเรื่องราวของนักเตะไทยและเกมการแข่งขันเจลีกให้ส่งมาถึงเมืองไทยมากที่สุด แต่กลายเป็นว่าแฟนบอลญี่ปุ่นเองต่างหากที่กลายเป็นผู้เสพข่าวสารนักเตะไทย และผันตัวเองเป็นแฟนคลับชนิดหลงใหลได้ปลื้มยิ่งกว่า

ที่ฮอกไกโด ดินแดนตอนเหนือของประเทศ ชนาธิปกลายเป็นดาวเด่นจากเมืองไทยที่เข้าไปครองหัวใจแฟนบอลเจ้าของฉายานกเค้าแมวเมืองเหนือ ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชนาธิปกลายเป็นสิ่งที่แฟนบอลให้ความสนใจหมด มันไม่ใช่แค่แฟนบอลที่สัมผัสได้ แต่เป็นเมืองทั้งเมืองที่รู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของนักเตะไทยรายนี้

โปรแกรมประชาสัมพันธ์ของทั้งสโมสรและเมืองซัปโปโรที่ใช้ดาวเตะไทยเป็นพรีเซนเตอร์ได้รับการตอบรับด้วยดี คนไทยที่ชื่นชอบการเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นได้เพิ่มโปรแกรมเข้าชมฝีเท้านักเตะไทยจนคนญี่ปุ่นมักหยิบมาพูดคุยกันเสมอว่าพวกเขาเจอแฟนบอลไทยทั้งที่ในสนามและตามที่ท่องเที่ยวบ่อยๆ ชนาธิปกลายเป็นนักเตะคนสำคัญที่สโมสรขาดไม่ได้ และแฟนบอลก็มองเขาเป็นนักเตะของเมืองถึงขนาดเรียกเขาว่า “ชนาธิปของซัปโปโร่”

มันไม่ง่ายเลยที่จะกลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลหรือชาวญี่ปุ่น ความโด่งดังในฝีเท้าของชนาธิปและนิสัยใจคอแบบคนไทยค่อยๆ ส่งให้ชนาธิปเป็นที่รักของผู้คนในญี่ปุ่น มันส่งผลมาถึงฤดูกาล 2019 ที่ธีราทรได้โอกาสกลับไปเล่นแบบยืมตัวอีกครั้งแต่เป็นที่สโมสรโยโกฮาม่า เอฟ มารินอส พร้อมด้วยเสียงฮือฮาเมื่อน้องใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้นอย่างโออิตะ ทรินิตะเลือกคว้ากองกลางทีมชาติไทยที่ชื่อฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ไปเสริมทัพ

นอกจากฝีเท้าและความพยายามในการพิสูจน์ตนเองแล้ว รอยยิ้มแบบชาวสยามที่ติดตัวไปกับสามนักเตะ โดยเฉพาะชนาธิปและฐิติพันธ์ที่เป็นคนยิ้มง่าย มันคืออาวุธสำคัญที่ทำให้เข้าถึงความรู้สึกชื่นชอบของแฟนบอลสโมสรได้ นักเตะไทยมีบางอย่างที่แตกต่างจากนักเตะญี่ปุ่นและนักเตะจากชาติอื่นๆ นั่นคือสิ่งที่แฟนบอลญี่ปุ่นรู้สึก พวกเขามีความเก่ง มีความน่ารัก มีนิสัยดี มีอัธยาศัยไมตรีที่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การจะกลายเป็นที่รักยิ่งของเจ้าบ้านก็เป็นไปได้อยู่แล้ว

 

post

ศึกชิงเจ้ายุโรปของสโมสรฟุตบอลจากเกาะอังกฤษ

ถึงตอนนี้เป็นที่รู้แล้วว่าสโมสรที่เข้าชิงชนะเลิศรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกคือลิเวอร์พูลและสเปอร์ สองตัวแทนจากพรีเมียร์ลีก ขณะเดียวกันอาร์เซน่อลและเชลซี อีก 2 ทีมจากเกาะอังกฤษก็มีโอกาสสูงที่จะเข้าชิงชนะเลิศรายการยูโรป้า ลีกด้วย เป็นอีกหนึ่งปีที่สโมสรจากอังกฤษได้ประกาศศักดาความเป็นเจ้าแห่งยุโรปอีกครั้ง เหมือนที่มันเคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว

ในช่วงก่อนที่สโมสรจากอังกฤษจะโดนแบนจากฟุตบอลรายการระดับทวีปในปี 1985 จากเหตุการณ์ที่เฮย์ เซย์ สเตเดี่ยม นัดชิงชนะเลิศที่ลิเวอร์พูลพ่ายให้ยูเวนตุสไป 1-0 เรื่องราวที่เป็นโศกนาฏกรรมจากการกระทำของแฟนบอลจนมีผู้เสียชีวิตไปถึง 39 คน ลิเวอร์พูลโดนแบน 6 ปี ขณะที่สโมสรจากอังกฤษโดนไป 5 ปี น่าเศร้าแทนเอฟเวอร์ตันที่อุตส่าห์คว้าแชมป์คัพ วินเนอร์ คัพได้ในปีเดียวกันนั้นที่อดเล่นรายการยูโรเปี้ยน คัพในฤดูกาลต่อมา

สโมสรจากอังกฤษที่ขณะนั้นถือเป็นเบอร์หนึ่งยุโรปอย่างต่อเนื่อง ผลงานความแชมป์ยุโรป 7 จาก 8 ฤดูกาลหลังสุดก่อนโดนแบน น็อตติ้งแฮม ฟอร์เรสต์, แอสตัน วิลล่าและลิเวอร์พูลตัวก่อนเหตุให้ปี 1985 ผลัดกันขึ้นมาครองจ้าวยุโรปอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อโดนแบนยกเกาะ ฟุตบอลอังกฤษก็เหมือนโดนจับแช่แข็ง ต้องใช้เวลามากถึง 10 ปีกว่าที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสันจะพาทีมกลับมาคว้าแชมป์ยุโรปได้อีกครั้ง โดยหากไม่นับการเข้าชิงของปีศาจแดงจากเกาะอังกฤษแล้ว ตลอด 20 ปีของรายการถ้วยใหญ่สุด ไม่เคยมีสโมสรจากเกาะอังกฤษทะลุถึงนัดชิงชนะเลิศได้อีกเลย

หลังการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกได้อย่างมหัศจรรย์ที่อิสตัลบูลของลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2004/2005 สโมสรจากอังกฤษเริ่มกลับมาแสดงให้เห็นถึงความเป็นทีมเบอร์ต้นๆ ของยุโรปอีกครั้งด้วยการดาหน้าเข้าชิงชนะเลิศอย่างต่อเนื่อง แม้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชลซีและลิเวอร์พูลจะทำผลงานคว้าแชมป์รวมกันได้น้อยกว่าสโมสรจากฝั่งสเปน แต่มันก็แสดงให้เห็นชัดว่าสโมสรจากอังกฤษกำลังกรีธาทัพกลับสู่การครองยุโรปอีกครั้ง

การขับเคี่ยวแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกและโควตาแชมเปี้ยนลีกของสโมสรบนลีกสูงสุดอังกฤษ ส่งผลให้ทีมจากอังกฤษกลายเป็นทีมแกร่งของศึกยุโรปในทุกๆ ปี หลายฤดูกาลต่อเนื่องที่สโมสรตัวแทนทั้ง 4 ของอังกฤษที่ผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์กันยกชุด พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นชาติที่มีลุ้นคว้าแชมป์ยุโรปทุกฤดูกาล โดยไม่ได้มีเพียงทีมเดียวหรือสองทีม แต่เป็นทุกทีมของอังกฤษสามารถไปถึงจุดสูงสุดได้หมด

ช่วงหลังการขับเคี่ยวแย่งโควตาเข้ารอบแชมเปี้ยนลีกของสโมสรจากอังกฤษเข้มข้นขึ้นมาก จากท็อปโฟร์พวกเขากลายเป็นบิ๊กซิกส์ มีถึงหกทีมที่มีศักยภาพในการคว้าตั๋วถ้วยบิ๊กเอียร์ได้ ทีมอกหักสองทีมก็แข็งแกร่งพอที่จะไปเล่นอย่างเหนือๆ ในรายการยูโรป้า ลีก ทีมที่พลาดเล่นรายการใหญ่ ไม่นับการได้แชมป์ของเชลซีกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและรองแชมป์ของลิเวอร์พูล สโมสรตัวแทนเกาะอังกฤษในถ้วยเล็กก็มักทะลุถึงรอบรองชนะเลิศอยู่ตลอด

การเปิดโอกาสให้ทีมจากแต่ละชาติได้รับโควตาเข้าเล่นฟุตบอลรายการยุโรปมากกว่าที่ผ่านๆ ส่งผลให้ทีมจากอังกฤษซึ่งมีค่าเฉลี่ยความแข็งแกร่งสูงกว่าชาติอื่นต้องโคจรมาเจอกันในรอบลึกหลายต่อหลายครั้ง เกิดเกมระหว่างสโมสรจากลีกเดียวกันในเวอร์ชั่นยุโรปอย่างต่อเนื่อง

นัดชิงแชมเปี้ยนลีกปีนี้ก็จะเป็นการเจอกันของทีมจากเกาะอังกฤษเหมือนที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเคยเบียดชนะจุดโทษเชลซีในปี 2007/2008 ยิ่งถ้าอาร์เซน่อลกับเชลซีหลุดเข้าไปชิงชนะเลิศศึกยูโรป้า ลีกด้วยแล้วล่ะก็ นี่จะเป็นฤดูกาลที่แฟนบอลจากทั่วโลกได้ประจักษ์แก่สายตาว่าพรีเมียร์ลีกอังกฤษคือลีกที่อุดมไปด้วยทีมที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินยุโรปอีกครั้ง

 

post

4 ปีมหัศจรรย์ของเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

หลังสิ้นเสียงนกหวีดหมดเวลา ลิเวอร์พูลผ่านเข้าชิงชนะเลิศรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกเป็นปีที่สองติดต่อกัน มันเกิดขึ้นในค่ำคืนอันเหลือเชื่อเมื่อลิเวอร์พูลพลิกกลับมาเป็นผู้ชนะเหนือบาร์เซโลน่าไป 4-0 ทั้งที่ออกไปพ่ายมาในนัดแรก 3-0 โดยประตูแห่งชัยชนะเกิดจากการเตะมุมอันชาญฉลาดของเจ้าหนูวัย 20 ปี เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

เด็กหนุ่มท้องถิ่นเมืองลิเวอร์พูลที่เติบโตมากับอะคาเดมี่ของสโมสรสีแดงประจำเมืองตั้งแต่ 6 ขวบ กำลังจะได้โอกาสไปลงสนามในนัดชิงชนะเลิศศึกถ้วยใหญ่สุดของยุโรปอีกครั้ง

ฝีเท้าของเด็กน้อยจากเวสต์ ดาร์บี้ ชนบทเล็ก ๆ ทางตะวันออกของลิเวอร์พูลเริ่มต้นนับตั้งแต่ยังไม่ก้าวเท้าเข้าสู่สโมสรเลยก็ว่าได้ เมื่อเจ้าตัวในวัย 6 ขวบโชว์ฝีเท้าโดนใจโค้ชเอียน บาร์ริแกนระหว่างเข้าแคมป์บอล ด้วยสายสัมพันธ์ของบาร์ริแกนที่มีกับสโมสรลิเวอร์พูล เทรนต์ถูกเสนอตัวให้เข้าร่วมอะคาเดมี่ของหงส์แดง ซึ่งเขาก็ทำได้ดีจริง ๆ โดยกลายเป็นกัปตันของรุ่นอายุไม่เกิน 16 และ 18 ปีของสโมสร กระทั่งแบรนดอน ร็อดเจอร์ ผู้จัดการทีมชุดใหญ่ของสโมสรเรียกเขาขึ้นชุดใหญ่ในฤดูกาล 2015/2016 ด้วยวัยเพียง 16 ปี

ผ่านมาเพียงแค่ 4 ฤดูกาล เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ผ่านประสบการณ์ลูกหนังที่น่าเหลือเชื่อกับสโมสรลิเวอร์พูล มันเป็นข่าวเล็ก ๆ บนหน้าข่าวของหนังสือพิมพ์เอ็กโค่ สื่อท้องถิ่นเมืองลิเวอร์พูลที่นำเสนอข่าวไว้ว่าเทรนต์ได้ลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในเกมปรีซีซั่น 2015/2016 ที่ชนะสวินดอน ทาวน์ 2-1 เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2015 แม้จะได้โอกาสเพียงชิมลางกับทีมชุดใหญ่ แต่ด้วยการจับตาดูของเจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมคนใหม่ที่เข้ามาคุมทัพในช่วงกลางฤดูกาลนั้น พอเข้าฤดูกาล 2016/2017 หลังกลับจากพรีซีซั่นที่อเมริกา คล็อปป์รู้ว่านักเตะหนุ่มคนนี้พร้อมจะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังเสริมของทีมได้แล้ว และวันที่ 25 ตุลาคม 2016 เกมนัดแรกในชุดใหญ่หงส์แดงของเทรนต์ก็มาถึง เขาได้ลงสนามในเกมลีกคัพ รอบ 4 ที่เอาชนะสเปอร์ไปได้ 2-1 ก่อนจบฤดูกาลด้วยการลงเล่นรวม 12 เกมจากทุกรายการ ปิดท้ายด้วยรางวัลดาวรุ่งแห่งปีของสโมสร

ฤดูกาล 2017/2018 หงส์แดงเปิดหัวด้วยอาการบาดเจ็บของนาธาเนี่ยล ไคลน์ ทำให้ตำแหน่งแบ็คขวาของลิเวอร์พูลตกมาอยู่ในการแย่งกันของเทรนต์กับโจ โกเมซ ดาวรุ่งของทีมทั้งสองราย แต่ผลงานการทำประตูและแอสซิสต์ของเทรนต์ทำให้เขามีโอกาสลงสนามต่อเนื่องกว่า พร้อมกับฟอร์มกระฉูดแบบหยุดไม่อยู่เมื่อมีส่วนสำคัญในการพาทีมทะยานเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกได้ แม้จะพลาดการได้ชูถ้วยแชมป์ เทรนต์ถูกจารึกชื่อว่าเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดของสโมสรที่ได้ลงเล่นนัดชิงชนะเลิศรายการนี้ นอกจากรางวัลนักเตะดาวรุ่งแห่งปีของสโมสรลิเวอร์พูล รองอันดับหนึ่งนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของยุโรป เทรนต์ยังได้ของขวัญชิ้นใหญ่ด้วยการมีชื่อติดทัพสิงโตคำรามไปลุยฟุตบอลโลกที่รัสเซีย

หลังกลับจากช่วยอังกฤษทำผลงานจบด้วยอันดับ 4 ฤดูกาล 2018/2019 ก็เริ่มต้นขึ้น เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ลงเล่นอย่างมั่นใจ ภายใต้การบัญชาการแนวรับของเวอร์กิล ฟาน ไดจ์ และการวางแผนของเจอร์เก้น คล็อปป์ บทบาทในการเติมเกมริมเส้นขึ้นมาเปิดบอลให้เพื่อนทำประตูของเทรนต์เข้าขั้นสุดยอด จำนวนการเปิดบอลจากฝั่งขวาให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูที่เบียดกันมาอย่างสูสีกับแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็คซ้ายของทีมจนข้ามผ่านเลขสองหลักทั้งคู่กลายเป็นอาวุธที่น่าเกรงขามของหงส์แดง ทีมได้เบียดลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกจนถึงนัดสุดท้าย และอาวุธของเทรนต์นี่เองที่พาหงส์แดงคว่ำบาร์ซ่าในค่ำคืนที่แอนฟิลด์ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ

ฤดูกาล 2018/2019 ยังเหลือเส้นทางช่วงท้ายสั้น ๆ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ในวัยเพียง 20 ปี คว้ารางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพหรือ PFA ไปครองด้วยผลงานอันโดดเด่นเหนือดาวรุ่งคนอื่น ๆ แถมยังติดทีมยอดเยี่ยมของ PFA ด้วย ตอนนี้ก็เหลือเพียงผลงานในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลสโมสรยุโรปเท่านั้น ถ้ามันจบด้วยชัยชนะของลิเวอร์พูล เทรนต์ก็น่าจะปิดฉากฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด

 

post

เมื่อเทพธิดาแห่งชัยชนะกำลังจะพาอตาลันต้าไปแชมเปียนส์ลีก

ในฐานะแฟนบอล การได้เห็นสโมสรตัวเองออกไปโลดแล่นบนเวทีที่ใหญ่กว่าถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่สุด และสิ่งนั้นกำลังจะเกิดกับสาวกของ ”เทพธิดา” สโมสรอตาลันต้าแห่งเซเรีย อา ที่กำลังมีโอกาสสูงที่จะได้เข้าร่วมศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกฤดูกาลใหม่แล้ว

สองฤดูกาลก่อนสโมสรอตาลันต้าเซ็นสัญญาคว้าจาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ เข้ามาทำหน้าที่คุมสโมสรที่จบอันดับ 13 ในฤดูกาล 2015/2016 ไม่มีความคาดหวังที่สูงมานักสำหรับหนึ่งในสโมสรเก่าแก่ที่เคยประสบความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ  แค่แชมป์โกปา อิตาเลียในปี 1963 และมีโอกาสเข้าถึงรอบรองคัพ วินเนอร์คัพในปี 1988 ที่เหลือก็เป็นการขึ้น ๆ ลง ๆ ระหว่างเซเรีย อา กับ เซเรีย บี รวมถึงเซเรีย ซี1 ในบางฤดูกาล

ทว่าเพียงฤดูกาลแรกจาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ก็ร่ายมนตร์พาอตาลันต้าไปลุยสังเวียนยุโรปเสียอย่างนั้น อตาลันต้าจบอันดับ 4 ซึ่งดีที่สุดของสโมสรในปี 2016/2017 สโมสรคว้าสิทธิ์เข้าร่วมรายการยูโรป้า ลีก เป็นการกลับไปเล่นรายการยุโรปครั้งแรกในรอบ 26 ปี แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของกาสเปรินี่ เมื่อเขาเคยใช้คาถาเสกเจนัวให้เลื่อนชั้นจากเซเรีย บีในปีแรกที่คุมทีมก่อนทะลุถึงยูโรป้า ลีกในสามฤดูกาลมาแล้ว

การสร้างทีมด้วยขุนพลพลังหนุ่มของจาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ ได้สร้างนักเตะดาวรุ่งในแนวรับขึ้นมาเคาะประตูทีมชาติอิตาลีทั้งมัตเตีย คัลดาร่าและอันเดรีย คอนติ โดยมีอเล็กฆานโด โกเมส ปีกอาร์เจนไตน์ที่ระเบิดฟอร์มหรูในแนวรุก ทำให้อตาลันต้าทะยานสูงเหนือคู่แข่งดัง ๆ ทั้งลาซิโอ อินเตอร์มิลานและเอเซี มิลานได้

ฤดูกาล 2017/2018 อตาลันต้าในเวทียูโรป้า ลีกอาจจะไปได้ไกลเพียงแค่รอบแบ่งกลุ่ม ขณะที่ในเซเรีย อา อย่างน้อย ๆ ทีมก็ยังรักษาอันดับที่ 7 ซึ่งทำให้มีโอกาสได้กลับมาเล่นรายการยูโรป้า ลีกอีกครั้ง แม้จะเป็นแค่รอบคัดเลือกก็ตาม อย่างน้อยอตาลันต้าก็ได้ประสบการณ์จากการทำอันดับเพื่อพื้นที่รายการถ้วยยุโรปได้เป็นปีที่สองติดต่อกัน แต่ปีนี้พวกเขาไปได้แค่ก้าวเดียวในยูโรป้า ลีก เมื่อพ่ายโคเปนเฮเก้นตั้งแต่รอบคัดเลือก

กลับกันการทำทีมของกาสเปรินี่ก็ยังคงทำให้สาวกน้ำเงิน-ดำมีความสุขได้เมื่อพวกเขากรุยทางเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศโกปปา อิตาเลียที่พ่ายยูเวนตุส อีกเพียงนิดเดียวพวกเขาจะได้เข้าชิงชนะเลิศแล้วแท้ ๆ

กลับมาสู่ฤดูกาลปัจจุบันของอตาลันต้า และเป็นปีที่ 3 ในการคุมทีมของจาน ปิเอโร่ กัสเปรินี่ กับการมาของกองหน้ารายใหม่ ดูวาน ซาปาต้า ดาวเตะโคลัมเบียที่ยืมมาจากซามโดเรียพร้อมสัญญาซื้อขาด ซึ่งซาปาต้าจัดการยิงไปเกือบ 30 ประตูในฤดูกาลแรกกับทีม พาสโมสรคั่วอันดับ 4 ของตารางคะแนนกัลโช่ เซเรีย อาในช่วงเข้าสู่ท้ายฤดูกาลได้แล้ว ซึ่งเป็นอันดับสำหรับไปเล่นแชมเปียนส์ลีกที่ทีมจากอิตาลีได้โควตาเพิ่มมาเมื่อฤดูกาลที่แล้ว เท่านั้นยังไม่พอ ในโกปา อิตาเลีย พวกเขาล้างแค้นเขี่ยยูเวนตุสตกรอบก่อนรองชนะเลิศได้ แถมยังเอาชนะฟิออเรนติน่าในรอบรองชนะเลิศด้วยการบุกไปเสมอ 3-3 ที่ฟรอเรนซ์ แล้วกลับมาบดเอาชนะได้ 2-1 ที่แบร์กาโม่ ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับลาซิโอ เป็นการก้าวถึงนัดชิงชนะเลิศอีกครั้งหลังจากผ่านไป 55 ปี

สาวกอตาลันต้าแทบจะยกกาสเปรินี่เป็นพระเจ้า เพราะไม่เพียงแต่เขาจะสร้างสโมสรที่เคยได้แต่เอาชีวิตรอดในเซเรีย อา ไปวัน ๆ ให้กลายเป็นขาประจำในการไปลุยยุโรปแล้ว แถมกำลังจะได้ลุยรายการใหญ่สุดที่รวมหัวกะทิของลีกยุโรปไว้อีก แล้วนี่ยังจะได้เล่นนัดชิงชนะเลิศโกปา อิตาเลียที่เคยเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันได้อีกครั้ง ความจริงที่เกิดขึ้นมาอย่างสุดเหลือเชื่อในเวลาแค่ 3 ฤดูกาลเท่านั้น มันช่างหอมหวานและสนุกสนานจริง ๆ

 

post

ปีหน้าของหงส์แดง การเดินทางต่อของเจอร์เก้น คล็อปป์และลูกทีมปัจจุบัน

ด้วยผลงานดีขึ้นต่อเนื่องตลอดการทำทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ลิเวอร์พูลได้เดินมาถึงจุดที่พวกเขาสามารถพูดได้ว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในทีมสุดยอดของยุโรปได้อีกครั้ง การเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศของรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก และการเบียดแย่งแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ต้องวัดกันจน 90 นาทีสุดท้าย ไม่ว่าจะจบฤดูกาลด้วยการได้ถ้วยอีกครั้งหรือไม่ก็ตาม มันน่าสนใจว่าปีหน้าลิเวอร์พูลจะดียิ่งกว่านี้ได้อย่างไรดี

เดือนตุลาคมของฤดูกาล 2015 คล็อปป์ถูกดึงมาแทนที่แบรนดอน ร็อดเจอร์ แม้อันดับในลีก เขาพาทีมเข้าป้ายอันดับ 8 แต่ก็เข้าชิงลีกคัพ และยูโรป้า คัพได้

สองฤดูกาลต่อมาคล็อปป์สร้างทีมด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดัน ทีมสามารถกลับไปเล่นแชมเปี้ยนลีกได้อีกครั้งด้วยการจบอันดับที่ 4 และเพียงการทำทีมเต็มฤดูกาลที่สอง เจอร์เก้น คล็อปป์ก็ส่งลิเวอร์พูลกลับไปสู่เกมนัดชิงถ้วยยุโรป แม้จะพ่ายเรอัล มาดริดในท้ายที่สุด แต่ค่ำคืนที่แอนฟิลด์ก็กลายเป็นเครื่องหมายสำคัญของทีมได้อีกครั้ง

หลังจบฤดูกาล 2017/2018 สามประสานแดนหน้าของลิเวอร์พูลกลายเป็นที่เกรงขามไม่เพียงแค่บนเกาะอังกฤษ แต่พวกเขาสั่นสะเทือนยุโรปด้วยเกมรุกอันบ้าคลั่ง เมื่อรวมกับการทุ่มซื้อผู้เล่นกองหลังอย่างเวอร์กิล ฟาน ไดจ์มาอุดรูโหว่ซึ่งได้ผลดีเยี่ยม ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่ดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา สิ่งที่เกิดขึ้นกับลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2018/2019 คือการเติมจิ๊กซอว์ที่ควรต้องทำ นายทวารฝีมือดีที่จะสร้างความอุ่นใจให้เพื่อนร่วมทีมและแฟนบอล อลิสซง เบ็คเกอร์จากโรม่า, กองหลังตัวรับจากโมนาโก ฟาบินโญ่, ตัวรุกเทคนิคดีอย่างเชอร์ดาน ชากิรี่จากเซาท์แธมตัน และนาบี้ เกอิต้าจากอาร์แบ ไลป์ซิกส์

ลิเวอร์พูลเดินหน้าอย่างต่อเนื่องด้วยการเล่นที่รัดกุมกว่าเก่า แต่ยังเฉียบคมไม่แตกต่างไปจากเดิม จนก้าวขึ้นมาครองจ่าฝูงได้ในช่วงเวลาหลังคริสต์มาส เบียดแมนเชสเตอร์ ซิตี้ให้กลายเป็นผู้ตามได้บ้าง จากนั้นการขับเคี่ยวสุดมันส์แบบเกมต่อเกมก็เริ่มต้นขึ้น

เจอร์เก้น คล็อปป์มีการปรับเปลี่ยนแผนการเล่นอยู่หลายครั้ง ตอนนี้เขาสามารถมั่นใจในทีมหลายๆ ตำแหน่ง ผู้รักษาประตูอย่างอลิสซง เบ็คเกอร์ที่ไว้วางใจได้ กองหลังภายใต้การบัญชาการของฟาน ไดจ์ แบ็คสองข้างที่เดินเกมและเปิดบอลได้ลุ้นทั้งเทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์และแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กองกลางที่เก็บบอลได้เหนียวแน่นอย่างไวนัลดุม สามประสานกองหน้าที่มีตัวทดแทนกัน มันดูน่าพึงพอใจ แต่ยังไม่ใช่ทีมที่ดีที่สุด

สิ่งที่คล็อปป์ต้องทำคือการหารูโหว่ในทีมชุดนี้ให้เจอ รูที่ต้องอุดเพื่อก้าวขึ้นไปให้สูงกว่า ตำแหน่งนายทวารเบอร์สองที่ไว้วางใจได้มากกว่าซิมง มินโญเล่ต์ กองหลังตัวกลางที่จะมายืนคู่กันกับเวอร์กิล ฟาน ไดจ์ วิงแบ็คตัวเลือกที่สองทั้งฝั่งซ้ายและขวาในยามที่ผู้เล่นบาดเจ็บ กองกลางพรสวรรค์ที่จะพาบอลทะลุทะลวงขึ้นไปสร้างอันตรายช่วยสามแนวรุก และกองหน้าตัวเป้าที่ฝากความหวังได้มากกว่าผู้เล่นอย่างดิว็อก โอริกี

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันกับการเสริมทัพคือการวางแผนสร้างนักเตะขึ้นมาเสริมรุ่นพี่ ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรที่มีอะคาเดมี่ยอดเยี่ยมที่สุดทีมหนึ่ง ตอนนี้ผู้เล่นของพวกเขาจำนวนไม่น้อยกระจายเล่นให้กับหลายสโมสรบนเกาะอังกฤษ​ทั้งในลีกแชมเปี้ยนชิพ และลีกสก็อตแลนด์ คล็อปป์จำเป็นต้องมีเวทีในทีมชุดใหญ่ให้เด็กเหล่านี้ที่ถูกประเมินว่าพร้อมเลื่อนชั้นตัวเอง

สิ่งที่สำคัญของเจอร์เก้น คล็อปป์กับลิเวอร์พูลมีสองอย่างในฤดูกาลหน้านั่นคือ การแสดงให้เห็นความแข็งแกร่งสมเป็นหนึ่งในทีมแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง และสองคือการเดินทางเข้าสู่นัดชิงแชมเปี้ยนลีกให้ได้อีกรอบ และต่อให้ทำได้ก็อาจจะแค่ดีเหมือนเดิมเท่านั้น เพราะมันจะดีกว่าเดิมก็ต่อเมื่อลิเวอร์พูลคว้าทั้งสองแชมป์มาครองได้

 

post

คิงส์ คัพที่บุรีรัมย์ บทพิสูจน์ระดับฟุตบอลทีมชาติไทย-เวียดนาม

การแข่งขันฟุตบอลคิงส์ คัพ ประจำปี 2019 ที่โยกไปแข่งขันยังบุรีรัมย์ สร้างความฮือฮาให้แฟนบอลไทยและอาเซียนอย่างมาก เมื่อปรากฏรายชื่อทีมเข้าร่วมการแข่งขันพลิกโผไปจากเดิมพอสมควร โดยกลายเป็นอินเดีย กือราเซาและเวียดนามที่จะเข้าร่วมแข่งขัน ก่อนการจับสลากประกบคู่จะส่งไทยไปพบเวียดนาม เกิดเป็นโอกาสที่จะวัดกันไปเลยในเวลานี้ว่าเวียดนามหรือไทยที่ดีกว่ากัน

รายชื่อทีมเข้าร่วมฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ครั้งที่ 47 ในทีแรกปรากฏรายชื่อคู่แข่งอย่างอินเดียและจีน ซึ่งล้วนเป็นคู่แข่งที่ทีมชาติไทยได้เจอมาในการแข่งขันเอเชี่ยน คัพครั้งล่าสุด ไทยแพ้อินเดีย 1-4 พร้อมการปลดกลางศึกสำหรับหัวหน้าผู้ฝึกสอนในตอนนั้นที่ชื่อมิโลวาน ราเยวัช ทีมไทยดันโค้ชโต่ย ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ผู้ช่วยโค้ชขึ้นคนนำทัพโดยมีโชคทวี พรหมรัตน์เป็นมือขวา ทีมสามารถผ่านรอบแบ่งกลุ่มมาได้ขณะที่อินเดียตกรอบ ในรอบสองไทยพบจีนก่อนจะแพ้ไปแบบสู้ได้ 2-1 หลังจบรายการนั้นแฟนบอลไทยยังปักใจเชื่อว่าทีมชาติไทยดีกว่าทีมชาติอินเดีย และไม่น่าจะด้อยกว่าทีมชาติจีน

เมื่อจบรายการเอเชี่ยน คัพ ทีมชาติไทยชุดใหญ่ได้รับเชิญเข้าร่วมการแข่งขันไชน่า คัพ ที่ประเทศจีน โดยจีนเลือกใช้ไทยเป็นคู่แข่งแบบหมายมั่นปั้นมือว่าจะผ่านเข้าไปชิงแชมป์กับอุรุกวัย ทีมอันดับท็อปเท็นของโลกที่ได้รับเชิญเข้าร่วมแข่ง แต่ดันกลายเป็นว่าทีมชาติไทยได้ชนาธิป สรงกระสินธุ์ส่องประตูโทนให้ทีมไทยหักหน้าเจ้าภาพเข้าไปพบอุรุกวัยแทน ทีมชาติจีนที่มีข่าวว่าเตรียมจะเซย์เยสมาคิงส์ คัพก็ถูกตีตกไปทันที

ฝั่งเวียดนามเองทีแรกมีข่าวว่าไม่อยากมาร่วมรายการคิงส์ คัพเพราะพวกเขามองว่าทีมชาติของตัวเองนั้นเหนือกว่าทีมชาติไทยไปแล้ว เพราะได้ทั้งแชมป์อาเซียน คัพ, และรายการเอเชี่ยน คัพก็ไปไกลกว่าเพราะผ่านเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ขณะที่ไทยจอดแค่รอบ 16 ทีม อันดับโลกก็เหนือกว่าทีมชาติไทย ไม่นับรวมทีมรุ่นอายุต่ำกว่าชุดใหญ่ที่เวียดนามทำผลงานได้ดีกว่าไทยแทบจะทุกรายการ แต่สุดท้ายปาร์ก ฮัง ซอ โค้ชชาวเกาหลีใต้ที่ปลุกปั้นทีมดาวแดงให้มีผลงานสุดหรูก็ขอให้สมาคมฟุตบอลเวียดนามตอบรับเข้าร่วมรายการแข่งที่เมืองไทย เพราะเขามั่นใจว่านาทีนี้เวียดนามไม่ด้อยกว่าไทยแน่ๆ พร้อมด้วยชื่อสุดท้ายที่ได้รับเทียบเชิญเข้าร่วมการแข่งขันคือทีมชาติกือราเซา ทีมชื่อไม่คุ้นหูแต่มีอันดับโลกสูงที่สุดในบรรดาทีมทั้งหมด

สำหรับแฟนบอลทั้งไทยและเวียดนามที่อยากให้ทีมชาติชุดใหญ่ได้เจอกันสักทีก็สมใจหลังโลกออนไลน์ตั้งป้อมใส่กันมานาน ผลการประกบคู่ออกมาเป็นไทยพบเวียดนามและอินเดียพบกือราเซา

รายการคิงส์ คัพครั้งนี้ ทีมชาติไทยจะต้องลงสนามด้วยเกมนัดสำคัญที่แฟนบอลตั้งหน้าตั้งตารอคอย การเจอกันในเกมทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่รายการคัดเลือกฟุตบอลโลก 2018 ในปี 2015 ที่ตอนนั้นไทยชนะทั้งไปและกลับ ขณะที่ผลงานไทยดูสาละวันเตี้ยลง เวียดนามกลับสวนทางเป็นขาขึ้นแบบติดลิฟต์ ทำให้ต่อมความมั่นใจของแฟนบอลไทยถูกสะกิดด้วยคำถามว่า เราโดนเวียดนามแซงไปแล้วหรือเปล่า?

เกมไทย-เวียดนามในคิงส์ คัพครั้งนี้ มันจึงเป็นเกมที่มากกว่าแค่หนึ่งในเกมแพ้ชนะกันในหนึ่งการแข่งขันเท่านั้น แต่คุณค่าของมันคือการประกาศจุดยืนของระดับทีมชาติที่มีต่อกัน ไทยยังเป็นเจ้าอาเซียนเหมือนที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยเชื่อมั่น หรือว่าเวียดนามนั้นก้าวผ่านทีมชาติไทยไปเรียบร้อยแล้ว

 

post

เมื่อพรีเมียร์ลีกอังกฤษยังยืนยันความเป็นลีกเบอร์หนึ่ง

สถานการณ์ฟุตบอลลีกยุโรปเดินทางสู่ช่วงท้ายของฤดูกาล 2019 ในขณะที่บรรดาลีกอื่นๆ ของยุโรปทยอยได้แชมป์กันไป พรีเมียร์ลีกกลับยังอยู่ในช่วงเวลาบดบี้หาแชมป์อยู่เลย ยิ่งสองทีมทั้งลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ต่างผลัดกันพลิกแซงขึ้นเป็นจ่าฝูงแบบแฟนบอลก็ได้แต่เสียวไส้หายใจหายคอไม่ทันตามไปด้วย

เคยมีการตั้งคำถามว่าทำไมลีกฟุตบอลของอังกฤษถึงได้กลายเป็นลีกเบอร์หนึ่งสำหรับแฟนบอลมาโดยตลอด ทำไมมันเป็นลีกที่ทำเงินรายได้จากสปอนเซอร์ได้มากมาย ทำไมมันได้รับความนิยมระดับที่ค่าลิขสิทธิ์สำหรับถ่ายทอดสดนั้นลีกอื่นสู้ไม่ได้ ทั้งที่สโมสรฟุตบอลจากอังกฤษไม่ใช่เบอร์หนึ่งของวงการฟุตบอล ผู้เล่นเบอร์หนึ่งของโลกก็ไม่ได้เล่นในลีกนี้ รวมถึงอังกฤษก็เป็นแค่ชาติที่ไม่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลระดับนานาชาติด้วยซ้ำ คำตอบอยู่ที่ลีกอังกฤษสู้กันได้ถึงพริกถึงขิงกว่าใครเพื่อนนี่เอง

ต่อให้ไม่ใช่แฟนบอลอังกฤษ ​แต่ทุกคนที่ชื่นชอบการดูฟุตบอลย่อมรู้สึกได้ว่าในพรีเมียร์ลีก พวกเขาสู้กันอย่างเอาจริงเอาจังมากกว่า ตลอด 27 ปีของพรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดประกาศศักดาคว้าชัยไปเกือบครึ่งหนึ่งคือเป็นแชมป์ 13 ครั้ง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นทีมที่เหนือกว่าใคร เพราะเส้นทางการได้แชมป์ในแต่ละปีนั้นไม่ได้ง่ายดาย ช่วงทศวรรษที่ 2000 (ฤดูกาล 2000/2001-2009/2010) แม้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะยังคงเป็นทีมที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้มากที่สุด แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญกับการมีคู่แข่งสำคัญที่คอยเบียดคอยแซะให้หล่นจากบัลลังก์สโมสรเบอร์หนึ่งของเกาะซึ่งเรียกรวมกันว่าเป็นท็อปโฟร์ได้แก่ อาร์เซนอล เชลซีและลิเวอร์พูล สามทีมนี้ต่างสร้างทีมขึ้นมาเบียดสู้ในเส้นทางสู่แชมป์ สองทีมจากลอนดอนต่างทำได้สำเร็จ ส่วนลิเวอร์พูลทำได้แค่เกือบ แต่เหนืออื่นได้ ทั้งสี่ทีมนี้ต่างยึดตำแหน่งที่ 1-4 ของตารางขนาดได้เสมอ ยิ่งจากฤดูกาล 2005/2006-2008/2009 เป็น 5 ฤดูกาลที่พวกเขาไม่เคยหลุดจาก 4 ทีมแรก

เป็นลีกอื่นความต่างชั้นของสโมสรนับวันมีแต่จะยิ่งห่าง แต่ไม่ใช่ที่พรีเมียร์ลีก เมื่อก้าวเข้าทศวรรษที่ 2010 (ฤดูกาล 2010/2011-ปัจจุบัน) สโมสรหน้าใหม่อีก 2 ทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ก้าวขึ้นมาสู้ด้วยการทุ่มเงินของเจ้าของสโมสรรายใหม่ ผู้เล่นชั้นยอดที่ถูกกวาดเข้าสู่สโมสรพาทีมเฉือนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในช่วงเวลาก่อนเสียงนกหวีดจบฤดูกาล 2011/2012 และไม่เคยพลาดอันดับ 1-4 ตั้งแต่ขึ้นทศวรรษนี้มา หรือสเปอร์ที่มักจะป้วนเปี้ยนอยู่ในลำดับที่ 5-8 ทุกฤดูกาลก่อนนั้นได้ก็ยกตัวเองมาอยู่ในอันดับที่ 5 อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งขยับขึ้นมาเป็นทีมในโควตาแชมเปี้ยนส์ลีกได้ตลอดสี่ปีหลังสุด พวกเขาสถาปนาการแข่งขันในกลุ่มบิ๊กซิกส์ขึ้นมาแทนท็อปโฟร์

เมื่อกวาดตามองไปทั่วยุโรป การจะหาลีกที่มีการแข่งขันดุเดือดมากขนาดนี้ได้ยากมาก แต่ละลีกต่างมีทีมที่ผูกขาดการเป็นแชมป์อยู่เพียงทีมเดียว อย่างเยอรมันทุกปีก็ยังคงเป็นบาเยิร์น มิวนิค หรืออิตาลีก็มียูเวนตุส การมีทีมอื่นแซงคว้าแชมป์ได้ก็เป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน หรืออย่างในสเปนกับฝรั่งเศสเองก็จะมีแค่ 2-3 ทีมที่ได้ลุ้น แต่สุดท้ายทีมได้แชมป์ก็ไม่พ้นสโมสรเดิมๆ กลับกันเมื่อย้อนมองไปยังพรีเมียร์ลีก ทุกสโมสรต่างได้ลุ้นเบียดสู้กันอยู่ทุกเวลา ความเชื่อที่ว่าสามารถเป็นแชมป์ได้หมุนเวียนอยู่ในมือทีมเหล่านี้ แต่ไม่ได้แปลว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อสโมสรที่คนไม่คาดคิดอย่างเลสเตอร์ ซิตี้ยังสามารถเบียดขึ้นมาคว้าแชมป์ที่คนเอาใจช่วยทั้งโลก

แมนเชสเตอร์ ซิตี้และลิเวอร์พูลทำแต้มเบียดกันไปมาตลอดตั้งแต่เปิดฤดูกาลจนถึงท้ายฤดูกาล 2019 ตราบที่ไม่หมดเสียงนกหวีดจบเกมนัดที่ 38 ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2019 การลุ้นแชมป์ก็ยังไม่จบ และแม้สุดท้ายจะได้ผลแพ้ชนะว่าใครครองแชมป์ไปได้ หลังจบเกมแฟนบอลก็คงจะกล่าวถึงฤดูกาลนี้ในฐานะความมันส์อันดับหนึ่งของลีกจากทั่วยุโรปประจำปีอย่างแน่นอน

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดปะทะลิเวอร์พูล ศึกวันแดงเดือดที่ดุเดือดแรงร้อนกว่านัดแรกแน่นอน

การพบกันของอริร่วมเกาะอังกฤษระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกับลิเวอร์พูล ถูกยกให้เป็น Red War ที่เกาะอังกฤษ เนื่องจากทั้งสองทีมต่างมีฉายาว่า Red หรือสีแดงทั้งคู่ และเมื่อถูกแปลเป็นไทยด้วยคำเก๋ๆ ว่า “ศึกแดงเดือด” มันจึงระบุชัดเจนว่าเกมระหว่างสองทีมนี้พบกันครั้งใดต้องเตะกันอย่างถึงพริกถึงขิง

ทว่าหลายฤดูกาลแล้วที่เกมแดงเดือดไม่ได้เดือดอย่างที่แฟนบอลทั่วโลกตั้งตารอคอย ไม่ลิเวอร์พูลก็แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่หลุดจากสภาพทีมที่แข็งแกร่งไปก่อน โดยเฉพาะฤดูกาลนี้ที่เกมแดงเดือดนัดแรกที่แอนฟิลด์จบลงแบบสู้กันไม่ได้ทุกประการ

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลมีต้นฤดูกาลที่ยอดเยี่ยม พวกเขาไม่แพ้ใครอย่างยาวนานจนกระทั่งถึงนัดแดงเดือดที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดภายใต้การคุมทัพของโฆเซ่ มูริญโญ่ออกมาเยือน มีความคาดหวังถึงระดับความเดือดในเกมไว้เพียงระดับหนึ่ง  เพราะมันเป็นฤดูกาลที่ฝั่งยูไนเต็ดทำผลงานได้ไม่ดีเลย ทุกคนคาดหวังว่าอย่างน้อยในเกมที่เต็มไปด้วยศักดิ์ศรี มันควรจะมีอะไรสนุกขึ้นมาบ้าง ราคาต่อรองก่อนลงสนามเจ้าบ้านต่อ 1 ลูก ปรากฏเซียนทุกสำนักสั่งอยู่ข้างคล็อปป์หมด ผลปรากฏว่าในสนามนั้นลิเวอร์พูลเล่นได้ดีกว่าและเอาชนะได้ทุกแง่มุม จบนัดแรกของศึกแดงเดือดฤดูกาล 2018/2019 อย่างจืดชืด

ความเปลี่ยนแปลงในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดช่วงเดือนธันวาคมกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อดีตนักเตะผู้ซื่อสัตย์ของทีมได้ก้าวมาคุมทีมชั่วคราว เขาเอาบางสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณของสโมสรกลับมา และนั่นทำให้ทีมออกสตาร์ทได้ด้วยชัยชนะในลีก 5 เกมติด และวิธีการเล่นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ไม่ใช่ว่าทีมปีศาจแดงเล่นดีขึ้น พวกเขากลับไปสู่การเล่นแบบที่ควรเป็นมากกว่า ปรัชญาเกมรุกถูกนำกลับมาใช้และมันได้ผล

ลิเวอร์พูลกลับกลายเป็นทีมที่ประสบปัญหา พวกเขากำลังเผชิญกับการที่แนวรับบาดเจ็บ ซึ่งเจอร์เก้น คล็อปป์มีบทเรียนมาแล้วจากฤดูกาลที่ผ่านมา เขาเสริมทัพได้ดี มีผู้เล่นทดแทนอย่างยอดเยี่ยม แต่ข่าวร้ายคือจำนวนของผู้เล่นในแนวรับที่มีอาการบาดเจ็บดันเพิ่มสูงกว่ากว่าที่เกิดขึ้นในฤดูกาลที่แล้ว และผู้เล่นที่มีอยู่ไม่พอหมุนเวียนลงสนาม นี่จึงเป็นสาเหตุให้หงส์แดงเปิดฉากปีใหม่ด้วยการพ่ายสองเกมติด โอกาสเป็นแชมป์ยังสูงแต่มันเปิดกว้างกว่าเก่า

สถานการณ์ขาขึ้นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับขาลงของลิเวอร์พูล ทำให้แฟนบอลมองไปถึงเกมแดงเดือดที่จะเกิดขึ้นช่วงปลายกุมภาพันธ์ในมุมมองใหม่ จากที่เคยคิดหลังจบเกมที่แอนฟิลด์ว่าลิเวอร์พูลคงเอาชนะได้อีกครั้งแบบไม่ยากอะไร กลายเป็นไม่แน่เสียแล้วหากโซลชายังพาลูกทีมเล่นได้ดีอย่างนี้ต่อไป เอาฟอร์มและความพร้อมปัจจุบันเป็นหลัก เกมนี้ออกฝั่งแมนเชสเตอร์ได้ล้างแค้นแน่นอน

ราคาต่อรองเกมแดงเดือดที่โอลด์ แทร็พฟอร์ดไม่เสมอก็ ป.ป. เรื่องจะแพงถึงหนึ่งลูกคงเป็นไปได้ยาก ใครออกราคาต่อมารีบรอง แนวโน้มออกเสมอสูงเพราะลิเวอร์พูลจถึงจะไม่สมบูรณ์ ต้องแค่เรื่องเล่นเอาหนึ่งแต้มไม่น่าพลาด เพราะอย่างน้อยหนึ่งแต้มก็ยังดีกว่าไม่ได้ แถมถ้าแพ้ขึ้นมากำลังใจที่สร้างมาเพื่อการลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในรอบเกือบ 30 ปีจะหายเอา ขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ต้องการล้างอายความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ และทำอันดับเพื่อกลับไปเล่นรายการถ้วยยุโรปอีกครั้งอาจจะผิดหวังเล็กน้อย

เกมนี้แฟนบอลน่าได้รับรู้ถึงอารมณ์ความระทึกใจแบบหนังคนละม้วนกับเกมนัดแรกอย่างสิ้นเชิง และสีสันของเกมที่ทุกคนตั้งตาคอย ก็น่าจะออกมาสมกับที่มันได้รับฉายาว่า “แดงเดือด” อีกครั้งเสียที

แอตเลติโก้ มาดริด เป้าหมายคือสังเวียนนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีกในฝัน

 

การได้เข้าชิงชนะเลิศรายการที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปอย่างยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกคือความฝันของทุกสโมสร แต่ปีนี้แอตเลติโก มาดริดคงอยากที่จะฝันเป็นจริงมากเป็นพิเศษ เมื่อวานด้า เมโทรโปลิตาโน่ รังเหย้าในเกมลา ลีก้าของพวกเขาถูกเลือกเป็นสังเวียนนัดชิงชนะเลิศ

แอตเลติโก มาดริดสามารถผ่านเข้ารอบในกลุ่มที่มีโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จากเยอรมัน, คลับ บรูช จากเบลเยี่ยมและโมนาโก จากฝรั่งเศสเป็นเพื่อนร่วมกลุ่ม โดยเกือบเป็นแชมป์กลุ่มได้ด้วย หากไม่แพ้เฮดทูเอดทีมจากเมืองเบียร์ไปก่อน

นอกจากผลงานในแชมเปี้ยนส์ลีกที่ดีแล้ว เกมในฟุตบอลลีกของสเปน พวกเขาก็เป็นรองจ่าฝูง โดยมีแต้มตามหลังบาร์เซโลน่า 5 แต้มซึ่งเป็นระยะที่ยังได้ลุ้น และห่างจากรีล มาดริด คู่อริร่วมเมือง 5 แต้มเช่นกัน ซึ่งการได้ลุ้นแชมป์และทำอันดับเหนือกว่าอีกทีมของเมืองเป็นสิ่งที่แฟนบอลแอตมาดริดพึงพอใจมาก

สนามวานด้า เมโทรโปลิตาโน่ที่ถูกเปลี่ยนชื่อตามสปอนเซอร์หลักกับความจุ 67,703 ที่นั่ง เดิมทีมันถูกสร้างขึ้นโดยสภาเมืองมาดริดเพื่อใช้เป็นเวทีแข่งกรีฑาชิงแชมป์โลก แต่ก็ไม่ใด้ใช้งาน ถัดจากนั้นก็พยายามที่จะสร้างให้แล้วเสร็จเพื่อใช้ในกีฬาโอลิมปิก 2016 แต่ก็แพ้ในการเสนอตัวอีก ซึ่งหลังจากแพ้การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก ทางสโมสรแอตเลติโก มาดริดที่เพิ่งเซ็นสัญญากับทุนใหม่อย่างวานด้า บริษัทจากประเทศจีนก็เข้ามาซื้อสนามและทำการปรับปรุง ซึ่งก็แทบจะเท่ากับสร้างใหม่อยู่ 4 ปี จนพร้อมเปิดใช้งานในฤดูกาล 2017-2018

สนามแข่งใหม่ ความจุที่มากขึ้น ความทันสมัยที่ไม่น้อยหน้าใคร ทำให้มันกลายเป็นความภาคภูมิใจของสโมสรและแฟนบอล วานด้า เมโทรโปลิตาโน่กลายเป็นเวทีที่ทรงพลังสำหรับสโมสรลายขาวแดงแห่งกรุงมาดริด ด้วยเงินทุนจากสปอนเซอร์ที่มาจากเมืองจีน พวกเขาสามารถสร้างทีมที่แข็งแกร่งขึ้นมาต่อกรกับบาร์เซโลน่าและรีล มาดริดได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ไม่ใช่สู้ได้เพราะเป็นเกมใหญ่แล้วไปพ่ายกับทีมระดับกลางเหมือนที่แล้วมา

ขณะที่ผลงานของทีมดีขึ้นๆ สนามก็ถูกเลือกเป็นสังเวียนนัดชิงของรายการยุโรปที่พวกเขากำลังเข้าร่วม แรงจูงใจที่จะเดินทางไปให้ถึงนัดชิงในบ้านของตัวเองทำให้แอตเลติโก มาดริดเล่นเกมยุโรปอย่างยอดเยี่ยม พวกเขาลงเล่นที่สนามเหย้าและเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด นั่นแปลว่าเกมในวานด้า เทโทรโปลิตาโน่มีความหมายกับพวกเขาและแฟนบอลมากแค่ไหน

ในรอบ 16 ทีม แอตเลติโก้ มาดริดจับฉลากเจอกับอีกหนึ่งทีมที่คาดหวังผลงานระดับสุดยอดอย่างรีล มาดริด นักเตะคนสำคัญของอริร่วมเมืองได้ย้ายไปร่วมทัพและทำให้ยูเวนตุสกลายเป็นตัวเต็งขึ้นมาอย่างน่ากลัว คริสเตียโน่ โรนัลโด้จะได้กลับมาเยือนมาดริดอีกครั้งในสนามของคู่แข่งที่เขาเคยปะทะแข้งด้วย แต่คราวนี้มันคงไม่ง่ายเพราะเดิมพันเข้ารอบต่อไปนั้นสูงมาก

เส้นทางไปยังนัดชิงชนะเลิศของแอตเลติโก มาดริด อาจจะยังเหลือระยะทางอีกไกล แต่มันก็ไม่แน่ถ้าพวกเขาใช้เกมในบ้านเป็นแรงจูงใจที่จะเอาชนะและผ่านทุกทีมเพื่อไปถึงฝัน มันก็อาจจะเป็นไปได้ที่นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลแชมเปี้ยนส์ลีกจะมีชื่อของเจ้าของสนามตัวจริงลงแข่งขันเอง

เพียงแต่ว่าพวกเขาจะต้องหักปากกาเซียนเอาชนะยุเวนตุสที่ตูรินให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นเกมรอบ 16 ทีมจะเป็นเกมสุดท้ายที่ได้เล่นในวานด้า เมโทรโปลิตาโน่เป็นแน่