post

บาเยิร์น มิวนิคกับการทุ่มเงินครั้งประวัติศาสตร์เพื่อแชมเปียนส์ลีก?

บาเยิร์น มิวนิคสโมสรอันดับหนึ่งแห่งบุนเดสลีกา ลีกสูงสุดของเยอรมัน ผู้เป็นเจ้าของสถิติสูงสุดในการคว้าแชมป์ลีกได้ได้ถึง 29 ครั้ง และคว้าแชมป์ติดต่อกันได้ถึง 7 ครั้งใน 7 ปีล่าสุดอีกด้วย ทุบกระปุกครั้งประวัติศาสตร์ของสโมสรแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ทุ่มซื้อสตาร์ดังแถวหน้าของยุโรปเพื่อลุ้นคว้าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลนี้ให้จงได้ หลังจากคว้าแชมป์บิ๊กเอียร์ได้ครั้งสุดท้ายในปี 2012-13

การทุ่มเงินซื้อนักเตะครั้งประวัติศาสตร์

บาเยิร์น มิวนิค คือ สโมสรฟุตบอลที่สามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกาเยอรมันและแชมป์เด เอฟเบโพคาลได้มากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งนั่นดูจะไม่ใช่เป้าหมายสำคัญที่สุดลำดับแรก ๆ ของทีมใหญ่แห่งแคว้นบาบาเรียทางตอนใต้ของเยอรมันเสียแล้ว หลังสโมสรเดินหน้าทุ่มเงินดึงนักเตะชั้นนำอย่างต่อเนื่องโดยคว้าตัว “ลูอิส แฟร์น็องเดซ” กองหลังและแบ็คขวาทีมชาติฝรั่งเศส จากสโมสรแอตเลติโก มาดริด ด้วยค่าตัวแพงที่สุดเป็นสถิติสโมสรถึง 80 ล้านยูโร รวมถึงเบนจาแม็ง ปาวาร์ แบ็คซ้ายทีมชาติฝรั่งเศสเช่นกัน จากสตุ๊ตกาทท์ และทุ่มเงินมากกว่า 100 ล้านยูโร เพื่อขอซื้อเลอรอยด์ ซาเน่ ปีกทีมชาติเยอรมันจากแมนฯซิตี้ ซึ่งน่าเสียดายที่อดีตนักเตะของชาลเก้ผู้นี้ได้รับบาดเจ็บหนักไปเสียก่อน แต่ที่ฮือฮากว่าทุกคนที่กล่าวมาคือการดึงฟิลิปเป้ คูตินโญ่ เพลย์เมกเกอร์ค่าตัวแพงจากบาร์เซโลน่า ด้วยการยืมตัวพร้อมออฟชั่นซื้อขาดเป็นเงินกว่า 120 ล้านยูโร ทำให้บาเยิร์น มิวนิคกลับมาเป็นทีมที่ได้รับการจับตามองในเวทียุโรปอีกครั้ง

คำถามเกี่ยวกับนิโก้ โควัช

นิโก้ โควัช คือ กุนซือหนุ่มไฟแรง ที่มีข่าวจะถูกปลดจากทีมแทบจะทุกสัปดาห์ตั้งแต่เข้ามาคุมทีมใหญ่อย่างบาเยิร์นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ผลงานของโควัชในฤดูกาลที่ผ่านมาเกือบจะเอาตัวไม่รอด กว่าจะพาบาเยิร์น มิวนิคคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้แบบหวุดหวิด หลังจากทีมดอร์ทมุนด์คู่แข่งของเขาออกอาการแผ่วปลาย ก่อนจะคว้าแชมป์เดเอฟเบโพคาลได้ด้วยชัยชนะเหนือไลป์ซิก ที่มีศักยภาพทีมเป็นรองบาเยิร์นอยู่หลายช่วงตัวทีเดียว แต่นั้นอาจจะยังไม่เพียงพอเพราะบาเยิร์นต้องแพ้ต่อลิเวอร์พูลในบ้าน 0-2 ตกรอบแชมเปียนส์ลีกไปอย่างน่าเสียดาย แฟนบอลจึงยังตั้งคำถามถึงฝีมือในการทำทีมของโค้ชหนุ่มชาวโครเอเชียคนนี้จนถึงปัจจุบัน

แชมเปียนส์ลีกเป้าหมายแท้จริงที่เก็บอยู่ในใจ

ความสำเร็จในฟุตบอลลีกและฟุตบอลถ้วยของเยอรมัน ดูจะไม่มีความจำเป็นเลยที่สโมสรจะต้องทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงนักเตะซุปเปอร์สตาร์แถวหน้าของยุโรป มาเพื่อรักษาความสำเร็จเดิม ๆ ของสโมสรเอาไว้ เพราะด้วยทรัพยากรนักเตะที่มีอยู่ก็ยังเป็นต่อทีมคู่แข่งอยู่บานเบอะ ถึงแม้อูลี่ เฮอเนสและและคาร์ลไฮน์ รุมเมนิเก้ สองผู้บริหารคนสำคัญของสโมสรจะพูดถึงเป้าหมายในยุโรปโดยตรง แต่เชื่อได้เลยว่าบาเยิร์น มิวนิคไม่ต้องการที่จะหยุดสถิติการคว้าแชมป์บิ๊กเอียร์อยู่เพียงแค่ 5 สมัยอย่างแน่นอน

 

ลิเวอร์พูลกับโอกาสผ่านบาเยิร์นสู่รอบต่อไปของแชมเปี้ยนส์ลีก

พลันที่ผลการจับสลากประกบคู่รอบน็อคเอ้าท์ของรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกออกมาเป็นลิเวอร์พูลพบบาเยิร์น มิวนิค หลายสโมสรที่รอดจากการเจอลิเวอร์พูลก็พากันถอนหายใจยาว และเป็นบาเยิร์น มิวนิคที่ต้องหนักใจว่าพวกเขาจะรับมือกับลิเวอร์พูลอย่างไร

โดยชื่อชั้นแล้วบาเยอร์น มิวนิคไม่มีความจำเป็นต้องกลัวเกรงลิเวอร์พูลแม้แต่น้อย ราคาบ่อนพนันปล่อยให้เป็นแชมป์หงส์แพงกว่า 11/1 แต่บาเยิร์นไม่ห่างเลยที่ 21/1 ถึงอย่างนั้นเครดิตเกมยุโรปของลิเวอร์พูลดีมาก พวกเขามีพลังแฝงที่น่ากลัวยิ่งกว่าตัวตนของทีม นั่นเพราะค่ำคืนในเวทียุโรปของลิเวอร์พูลมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่จนยากเอาชนะ สาวกในแอนฟิลด์คือกำแพงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านขวางทางคู่แข่งทุกทีม และมันคือป้อมปราการที่ช่วยให้ลิเวอร์พูลก้าวไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ ในการลงเล่นถ้วยยุโรปหลายครั้งหลายหนตลอดหลายปีมาแล้ว

เกมนัดสุดท้ายของลิเวอร์พูลในรอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาหลังพิงฝาที่ต้องชนะสถานเดียวเหนือนาโปลี และมันก็จบลงด้วยชัยชนะ 1-0 ตามที่สโมสรเจ้าบ้านต้องการ ย้อนไปในเกมพบดอร์ทมุนด์ในยูโรป้าลีกปีก่อน พวกเขาก็ใช้เกมที่บ้านคว่ำผู้มาเยือนอย่างสุดมันส์ ยังไม่รวมเกมชี้เป็นชี้ตายนัดเจอโอลิมเปียกอสหลายปีก่อน หรือเกมที่พวกเขาถล่มโรม่าในรอบรองชนะเลิศปีที่แล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นภายใต้มนตร์ขลังและพลังวิเศษที่เกิดขึ้นในแอนฟิลด์ทั้งนั้น

ในนาทีนี้ลิเวอร์พูลเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ทำแต้มห่างรองจ่าฝูง 4 แต้ม และมีเกมสำคัญเพียงแค่ฟุตบอลลีกและฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกเท่านั้นที่พวกเขาจะต้องลงเล่น หลังจากที่หมดภารกิจในฟุตบอลถ้วยรายการอื่นอย่างรวดเร็ว บางคนมองว่านี่เป็นหมากที่ลิวเอร์พูลวางไว้โดยทิ้งถ้วยเล็กกว่าไป ทั้งที่ความจริงแล้วมันก็เกิดขึ้นได้เนื่องจากลิเวอร์พูลเผชิญปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่น

แต่ดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลไม่ใช่ทีมเดียวที่ต้องเผชิญปัญหา เนื่องจากคู่แข่งของพวกเขาต้องขาดผู้เล่นสำคัญอย่างโธมัส มุลเล่อร์ที่ติดโทษแบนทั้งสองเกมในการเจอกัน แถมด้วยอาร์เยน ร็อบเบ็นที่มีข่าวเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บอย่างไม่มีกำหนดกลับมาลงสนาม ซึ่งมันอาจจะไปเกิดขึ้นในช่วงที่ทีมลงทำการแข่งขันกันพอดี เนื่องจากปีนี้ทั้งปี ร็อบเบ็นเองก็ได้ลงไม่สม่ำเสมอเพราะอาการบาดเจ็บมาตลอด

นอกจากนี้ผู้จัดการทีมอย่างนิโก้ โควัชก็ยังเผยให้เห็นถึงประสบการณ์ที่ยังไม่ช่ำชองในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ต่างจากเจอร์เก้น คล็อปป์ที่กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวางหมากและแก้เกม โดยเขาสามารถที่จะพาลิเวอร์พูลผ่านสถานการณ์สำคัญๆ ได้ตามแผนที่วางไว้อย่างแยบยล แถมยังหมุนเวียนนักเตะได้ค่อนข้างดี แม้อาการบาดเจ็บของแนวรับจะกลายเป็นปัญหาใหญ่มากก็ตามที

ดูทรงจากตรงนี้ลิเวอร์พูลมีโอกาสดีที่จะผ่านบาเยิร์น มิวนิคเข้าสู่รอบต่อไปของฟุตบอลถ้วยใหญ่ยุโรปได้ไม่ยาก เอาชนะที่แอนฟิลด์แบบไม่เสียประตูสัก 2-0 และบุกไปยันเสมอ 0-0 หรือ 1-1 ถึงมิวนิคก็จบเรื่อง และมันคงไม่ยากที่จะผ่านเข้ารอบต่อๆไป อีกเหมือนที่พวกเขาทำได้ในฤดูกาลที่แล้วจนได้เข้าไปเล่นนัดชิงชนะเลิศ