post

4 ปีมหัศจรรย์ของเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

หลังสิ้นเสียงนกหวีดหมดเวลา ลิเวอร์พูลผ่านเข้าชิงชนะเลิศรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกเป็นปีที่สองติดต่อกัน มันเกิดขึ้นในค่ำคืนอันเหลือเชื่อเมื่อลิเวอร์พูลพลิกกลับมาเป็นผู้ชนะเหนือบาร์เซโลน่าไป 4-0 ทั้งที่ออกไปพ่ายมาในนัดแรก 3-0 โดยประตูแห่งชัยชนะเกิดจากการเตะมุมอันชาญฉลาดของเจ้าหนูวัย 20 ปี เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

เด็กหนุ่มท้องถิ่นเมืองลิเวอร์พูลที่เติบโตมากับอะคาเดมี่ของสโมสรสีแดงประจำเมืองตั้งแต่ 6 ขวบ กำลังจะได้โอกาสไปลงสนามในนัดชิงชนะเลิศศึกถ้วยใหญ่สุดของยุโรปอีกครั้ง

ฝีเท้าของเด็กน้อยจากเวสต์ ดาร์บี้ ชนบทเล็ก ๆ ทางตะวันออกของลิเวอร์พูลเริ่มต้นนับตั้งแต่ยังไม่ก้าวเท้าเข้าสู่สโมสรเลยก็ว่าได้ เมื่อเจ้าตัวในวัย 6 ขวบโชว์ฝีเท้าโดนใจโค้ชเอียน บาร์ริแกนระหว่างเข้าแคมป์บอล ด้วยสายสัมพันธ์ของบาร์ริแกนที่มีกับสโมสรลิเวอร์พูล เทรนต์ถูกเสนอตัวให้เข้าร่วมอะคาเดมี่ของหงส์แดง ซึ่งเขาก็ทำได้ดีจริง ๆ โดยกลายเป็นกัปตันของรุ่นอายุไม่เกิน 16 และ 18 ปีของสโมสร กระทั่งแบรนดอน ร็อดเจอร์ ผู้จัดการทีมชุดใหญ่ของสโมสรเรียกเขาขึ้นชุดใหญ่ในฤดูกาล 2015/2016 ด้วยวัยเพียง 16 ปี

ผ่านมาเพียงแค่ 4 ฤดูกาล เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ผ่านประสบการณ์ลูกหนังที่น่าเหลือเชื่อกับสโมสรลิเวอร์พูล มันเป็นข่าวเล็ก ๆ บนหน้าข่าวของหนังสือพิมพ์เอ็กโค่ สื่อท้องถิ่นเมืองลิเวอร์พูลที่นำเสนอข่าวไว้ว่าเทรนต์ได้ลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในเกมปรีซีซั่น 2015/2016 ที่ชนะสวินดอน ทาวน์ 2-1 เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2015 แม้จะได้โอกาสเพียงชิมลางกับทีมชุดใหญ่ แต่ด้วยการจับตาดูของเจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมคนใหม่ที่เข้ามาคุมทัพในช่วงกลางฤดูกาลนั้น พอเข้าฤดูกาล 2016/2017 หลังกลับจากพรีซีซั่นที่อเมริกา คล็อปป์รู้ว่านักเตะหนุ่มคนนี้พร้อมจะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังเสริมของทีมได้แล้ว และวันที่ 25 ตุลาคม 2016 เกมนัดแรกในชุดใหญ่หงส์แดงของเทรนต์ก็มาถึง เขาได้ลงสนามในเกมลีกคัพ รอบ 4 ที่เอาชนะสเปอร์ไปได้ 2-1 ก่อนจบฤดูกาลด้วยการลงเล่นรวม 12 เกมจากทุกรายการ ปิดท้ายด้วยรางวัลดาวรุ่งแห่งปีของสโมสร

ฤดูกาล 2017/2018 หงส์แดงเปิดหัวด้วยอาการบาดเจ็บของนาธาเนี่ยล ไคลน์ ทำให้ตำแหน่งแบ็คขวาของลิเวอร์พูลตกมาอยู่ในการแย่งกันของเทรนต์กับโจ โกเมซ ดาวรุ่งของทีมทั้งสองราย แต่ผลงานการทำประตูและแอสซิสต์ของเทรนต์ทำให้เขามีโอกาสลงสนามต่อเนื่องกว่า พร้อมกับฟอร์มกระฉูดแบบหยุดไม่อยู่เมื่อมีส่วนสำคัญในการพาทีมทะยานเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกได้ แม้จะพลาดการได้ชูถ้วยแชมป์ เทรนต์ถูกจารึกชื่อว่าเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดของสโมสรที่ได้ลงเล่นนัดชิงชนะเลิศรายการนี้ นอกจากรางวัลนักเตะดาวรุ่งแห่งปีของสโมสรลิเวอร์พูล รองอันดับหนึ่งนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของยุโรป เทรนต์ยังได้ของขวัญชิ้นใหญ่ด้วยการมีชื่อติดทัพสิงโตคำรามไปลุยฟุตบอลโลกที่รัสเซีย

หลังกลับจากช่วยอังกฤษทำผลงานจบด้วยอันดับ 4 ฤดูกาล 2018/2019 ก็เริ่มต้นขึ้น เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ลงเล่นอย่างมั่นใจ ภายใต้การบัญชาการแนวรับของเวอร์กิล ฟาน ไดจ์ และการวางแผนของเจอร์เก้น คล็อปป์ บทบาทในการเติมเกมริมเส้นขึ้นมาเปิดบอลให้เพื่อนทำประตูของเทรนต์เข้าขั้นสุดยอด จำนวนการเปิดบอลจากฝั่งขวาให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูที่เบียดกันมาอย่างสูสีกับแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็คซ้ายของทีมจนข้ามผ่านเลขสองหลักทั้งคู่กลายเป็นอาวุธที่น่าเกรงขามของหงส์แดง ทีมได้เบียดลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกจนถึงนัดสุดท้าย และอาวุธของเทรนต์นี่เองที่พาหงส์แดงคว่ำบาร์ซ่าในค่ำคืนที่แอนฟิลด์ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ

ฤดูกาล 2018/2019 ยังเหลือเส้นทางช่วงท้ายสั้น ๆ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ในวัยเพียง 20 ปี คว้ารางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพหรือ PFA ไปครองด้วยผลงานอันโดดเด่นเหนือดาวรุ่งคนอื่น ๆ แถมยังติดทีมยอดเยี่ยมของ PFA ด้วย ตอนนี้ก็เหลือเพียงผลงานในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลสโมสรยุโรปเท่านั้น ถ้ามันจบด้วยชัยชนะของลิเวอร์พูล เทรนต์ก็น่าจะปิดฉากฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด

 

post

เมื่อเทพธิดาแห่งชัยชนะกำลังจะพาอตาลันต้าไปแชมเปียนส์ลีก

ในฐานะแฟนบอล การได้เห็นสโมสรตัวเองออกไปโลดแล่นบนเวทีที่ใหญ่กว่าถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่สุด และสิ่งนั้นกำลังจะเกิดกับสาวกของ ”เทพธิดา” สโมสรอตาลันต้าแห่งเซเรีย อา ที่กำลังมีโอกาสสูงที่จะได้เข้าร่วมศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกฤดูกาลใหม่แล้ว

สองฤดูกาลก่อนสโมสรอตาลันต้าเซ็นสัญญาคว้าจาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ เข้ามาทำหน้าที่คุมสโมสรที่จบอันดับ 13 ในฤดูกาล 2015/2016 ไม่มีความคาดหวังที่สูงมานักสำหรับหนึ่งในสโมสรเก่าแก่ที่เคยประสบความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ  แค่แชมป์โกปา อิตาเลียในปี 1963 และมีโอกาสเข้าถึงรอบรองคัพ วินเนอร์คัพในปี 1988 ที่เหลือก็เป็นการขึ้น ๆ ลง ๆ ระหว่างเซเรีย อา กับ เซเรีย บี รวมถึงเซเรีย ซี1 ในบางฤดูกาล

ทว่าเพียงฤดูกาลแรกจาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ก็ร่ายมนตร์พาอตาลันต้าไปลุยสังเวียนยุโรปเสียอย่างนั้น อตาลันต้าจบอันดับ 4 ซึ่งดีที่สุดของสโมสรในปี 2016/2017 สโมสรคว้าสิทธิ์เข้าร่วมรายการยูโรป้า ลีก เป็นการกลับไปเล่นรายการยุโรปครั้งแรกในรอบ 26 ปี แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของกาสเปรินี่ เมื่อเขาเคยใช้คาถาเสกเจนัวให้เลื่อนชั้นจากเซเรีย บีในปีแรกที่คุมทีมก่อนทะลุถึงยูโรป้า ลีกในสามฤดูกาลมาแล้ว

การสร้างทีมด้วยขุนพลพลังหนุ่มของจาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ ได้สร้างนักเตะดาวรุ่งในแนวรับขึ้นมาเคาะประตูทีมชาติอิตาลีทั้งมัตเตีย คัลดาร่าและอันเดรีย คอนติ โดยมีอเล็กฆานโด โกเมส ปีกอาร์เจนไตน์ที่ระเบิดฟอร์มหรูในแนวรุก ทำให้อตาลันต้าทะยานสูงเหนือคู่แข่งดัง ๆ ทั้งลาซิโอ อินเตอร์มิลานและเอเซี มิลานได้

ฤดูกาล 2017/2018 อตาลันต้าในเวทียูโรป้า ลีกอาจจะไปได้ไกลเพียงแค่รอบแบ่งกลุ่ม ขณะที่ในเซเรีย อา อย่างน้อย ๆ ทีมก็ยังรักษาอันดับที่ 7 ซึ่งทำให้มีโอกาสได้กลับมาเล่นรายการยูโรป้า ลีกอีกครั้ง แม้จะเป็นแค่รอบคัดเลือกก็ตาม อย่างน้อยอตาลันต้าก็ได้ประสบการณ์จากการทำอันดับเพื่อพื้นที่รายการถ้วยยุโรปได้เป็นปีที่สองติดต่อกัน แต่ปีนี้พวกเขาไปได้แค่ก้าวเดียวในยูโรป้า ลีก เมื่อพ่ายโคเปนเฮเก้นตั้งแต่รอบคัดเลือก

กลับกันการทำทีมของกาสเปรินี่ก็ยังคงทำให้สาวกน้ำเงิน-ดำมีความสุขได้เมื่อพวกเขากรุยทางเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศโกปปา อิตาเลียที่พ่ายยูเวนตุส อีกเพียงนิดเดียวพวกเขาจะได้เข้าชิงชนะเลิศแล้วแท้ ๆ

กลับมาสู่ฤดูกาลปัจจุบันของอตาลันต้า และเป็นปีที่ 3 ในการคุมทีมของจาน ปิเอโร่ กัสเปรินี่ กับการมาของกองหน้ารายใหม่ ดูวาน ซาปาต้า ดาวเตะโคลัมเบียที่ยืมมาจากซามโดเรียพร้อมสัญญาซื้อขาด ซึ่งซาปาต้าจัดการยิงไปเกือบ 30 ประตูในฤดูกาลแรกกับทีม พาสโมสรคั่วอันดับ 4 ของตารางคะแนนกัลโช่ เซเรีย อาในช่วงเข้าสู่ท้ายฤดูกาลได้แล้ว ซึ่งเป็นอันดับสำหรับไปเล่นแชมเปียนส์ลีกที่ทีมจากอิตาลีได้โควตาเพิ่มมาเมื่อฤดูกาลที่แล้ว เท่านั้นยังไม่พอ ในโกปา อิตาเลีย พวกเขาล้างแค้นเขี่ยยูเวนตุสตกรอบก่อนรองชนะเลิศได้ แถมยังเอาชนะฟิออเรนติน่าในรอบรองชนะเลิศด้วยการบุกไปเสมอ 3-3 ที่ฟรอเรนซ์ แล้วกลับมาบดเอาชนะได้ 2-1 ที่แบร์กาโม่ ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับลาซิโอ เป็นการก้าวถึงนัดชิงชนะเลิศอีกครั้งหลังจากผ่านไป 55 ปี

สาวกอตาลันต้าแทบจะยกกาสเปรินี่เป็นพระเจ้า เพราะไม่เพียงแต่เขาจะสร้างสโมสรที่เคยได้แต่เอาชีวิตรอดในเซเรีย อา ไปวัน ๆ ให้กลายเป็นขาประจำในการไปลุยยุโรปแล้ว แถมกำลังจะได้ลุยรายการใหญ่สุดที่รวมหัวกะทิของลีกยุโรปไว้อีก แล้วนี่ยังจะได้เล่นนัดชิงชนะเลิศโกปา อิตาเลียที่เคยเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันได้อีกครั้ง ความจริงที่เกิดขึ้นมาอย่างสุดเหลือเชื่อในเวลาแค่ 3 ฤดูกาลเท่านั้น มันช่างหอมหวานและสนุกสนานจริง ๆ

 

post

ปีหน้าของหงส์แดง การเดินทางต่อของเจอร์เก้น คล็อปป์และลูกทีมปัจจุบัน

ด้วยผลงานดีขึ้นต่อเนื่องตลอดการทำทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ลิเวอร์พูลได้เดินมาถึงจุดที่พวกเขาสามารถพูดได้ว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในทีมสุดยอดของยุโรปได้อีกครั้ง การเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศของรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก และการเบียดแย่งแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ต้องวัดกันจน 90 นาทีสุดท้าย ไม่ว่าจะจบฤดูกาลด้วยการได้ถ้วยอีกครั้งหรือไม่ก็ตาม มันน่าสนใจว่าปีหน้าลิเวอร์พูลจะดียิ่งกว่านี้ได้อย่างไรดี

เดือนตุลาคมของฤดูกาล 2015 คล็อปป์ถูกดึงมาแทนที่แบรนดอน ร็อดเจอร์ แม้อันดับในลีก เขาพาทีมเข้าป้ายอันดับ 8 แต่ก็เข้าชิงลีกคัพ และยูโรป้า คัพได้

สองฤดูกาลต่อมาคล็อปป์สร้างทีมด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดัน ทีมสามารถกลับไปเล่นแชมเปี้ยนลีกได้อีกครั้งด้วยการจบอันดับที่ 4 และเพียงการทำทีมเต็มฤดูกาลที่สอง เจอร์เก้น คล็อปป์ก็ส่งลิเวอร์พูลกลับไปสู่เกมนัดชิงถ้วยยุโรป แม้จะพ่ายเรอัล มาดริดในท้ายที่สุด แต่ค่ำคืนที่แอนฟิลด์ก็กลายเป็นเครื่องหมายสำคัญของทีมได้อีกครั้ง

หลังจบฤดูกาล 2017/2018 สามประสานแดนหน้าของลิเวอร์พูลกลายเป็นที่เกรงขามไม่เพียงแค่บนเกาะอังกฤษ แต่พวกเขาสั่นสะเทือนยุโรปด้วยเกมรุกอันบ้าคลั่ง เมื่อรวมกับการทุ่มซื้อผู้เล่นกองหลังอย่างเวอร์กิล ฟาน ไดจ์มาอุดรูโหว่ซึ่งได้ผลดีเยี่ยม ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่ดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา สิ่งที่เกิดขึ้นกับลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2018/2019 คือการเติมจิ๊กซอว์ที่ควรต้องทำ นายทวารฝีมือดีที่จะสร้างความอุ่นใจให้เพื่อนร่วมทีมและแฟนบอล อลิสซง เบ็คเกอร์จากโรม่า, กองหลังตัวรับจากโมนาโก ฟาบินโญ่, ตัวรุกเทคนิคดีอย่างเชอร์ดาน ชากิรี่จากเซาท์แธมตัน และนาบี้ เกอิต้าจากอาร์แบ ไลป์ซิกส์

ลิเวอร์พูลเดินหน้าอย่างต่อเนื่องด้วยการเล่นที่รัดกุมกว่าเก่า แต่ยังเฉียบคมไม่แตกต่างไปจากเดิม จนก้าวขึ้นมาครองจ่าฝูงได้ในช่วงเวลาหลังคริสต์มาส เบียดแมนเชสเตอร์ ซิตี้ให้กลายเป็นผู้ตามได้บ้าง จากนั้นการขับเคี่ยวสุดมันส์แบบเกมต่อเกมก็เริ่มต้นขึ้น

เจอร์เก้น คล็อปป์มีการปรับเปลี่ยนแผนการเล่นอยู่หลายครั้ง ตอนนี้เขาสามารถมั่นใจในทีมหลายๆ ตำแหน่ง ผู้รักษาประตูอย่างอลิสซง เบ็คเกอร์ที่ไว้วางใจได้ กองหลังภายใต้การบัญชาการของฟาน ไดจ์ แบ็คสองข้างที่เดินเกมและเปิดบอลได้ลุ้นทั้งเทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์และแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กองกลางที่เก็บบอลได้เหนียวแน่นอย่างไวนัลดุม สามประสานกองหน้าที่มีตัวทดแทนกัน มันดูน่าพึงพอใจ แต่ยังไม่ใช่ทีมที่ดีที่สุด

สิ่งที่คล็อปป์ต้องทำคือการหารูโหว่ในทีมชุดนี้ให้เจอ รูที่ต้องอุดเพื่อก้าวขึ้นไปให้สูงกว่า ตำแหน่งนายทวารเบอร์สองที่ไว้วางใจได้มากกว่าซิมง มินโญเล่ต์ กองหลังตัวกลางที่จะมายืนคู่กันกับเวอร์กิล ฟาน ไดจ์ วิงแบ็คตัวเลือกที่สองทั้งฝั่งซ้ายและขวาในยามที่ผู้เล่นบาดเจ็บ กองกลางพรสวรรค์ที่จะพาบอลทะลุทะลวงขึ้นไปสร้างอันตรายช่วยสามแนวรุก และกองหน้าตัวเป้าที่ฝากความหวังได้มากกว่าผู้เล่นอย่างดิว็อก โอริกี

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันกับการเสริมทัพคือการวางแผนสร้างนักเตะขึ้นมาเสริมรุ่นพี่ ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรที่มีอะคาเดมี่ยอดเยี่ยมที่สุดทีมหนึ่ง ตอนนี้ผู้เล่นของพวกเขาจำนวนไม่น้อยกระจายเล่นให้กับหลายสโมสรบนเกาะอังกฤษ​ทั้งในลีกแชมเปี้ยนชิพ และลีกสก็อตแลนด์ คล็อปป์จำเป็นต้องมีเวทีในทีมชุดใหญ่ให้เด็กเหล่านี้ที่ถูกประเมินว่าพร้อมเลื่อนชั้นตัวเอง

สิ่งที่สำคัญของเจอร์เก้น คล็อปป์กับลิเวอร์พูลมีสองอย่างในฤดูกาลหน้านั่นคือ การแสดงให้เห็นความแข็งแกร่งสมเป็นหนึ่งในทีมแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง และสองคือการเดินทางเข้าสู่นัดชิงแชมเปี้ยนลีกให้ได้อีกรอบ และต่อให้ทำได้ก็อาจจะแค่ดีเหมือนเดิมเท่านั้น เพราะมันจะดีกว่าเดิมก็ต่อเมื่อลิเวอร์พูลคว้าทั้งสองแชมป์มาครองได้

 

post

คิงส์ คัพที่บุรีรัมย์ บทพิสูจน์ระดับฟุตบอลทีมชาติไทย-เวียดนาม

การแข่งขันฟุตบอลคิงส์ คัพ ประจำปี 2019 ที่โยกไปแข่งขันยังบุรีรัมย์ สร้างความฮือฮาให้แฟนบอลไทยและอาเซียนอย่างมาก เมื่อปรากฏรายชื่อทีมเข้าร่วมการแข่งขันพลิกโผไปจากเดิมพอสมควร โดยกลายเป็นอินเดีย กือราเซาและเวียดนามที่จะเข้าร่วมแข่งขัน ก่อนการจับสลากประกบคู่จะส่งไทยไปพบเวียดนาม เกิดเป็นโอกาสที่จะวัดกันไปเลยในเวลานี้ว่าเวียดนามหรือไทยที่ดีกว่ากัน

รายชื่อทีมเข้าร่วมฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ครั้งที่ 47 ในทีแรกปรากฏรายชื่อคู่แข่งอย่างอินเดียและจีน ซึ่งล้วนเป็นคู่แข่งที่ทีมชาติไทยได้เจอมาในการแข่งขันเอเชี่ยน คัพครั้งล่าสุด ไทยแพ้อินเดีย 1-4 พร้อมการปลดกลางศึกสำหรับหัวหน้าผู้ฝึกสอนในตอนนั้นที่ชื่อมิโลวาน ราเยวัช ทีมไทยดันโค้ชโต่ย ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ผู้ช่วยโค้ชขึ้นคนนำทัพโดยมีโชคทวี พรหมรัตน์เป็นมือขวา ทีมสามารถผ่านรอบแบ่งกลุ่มมาได้ขณะที่อินเดียตกรอบ ในรอบสองไทยพบจีนก่อนจะแพ้ไปแบบสู้ได้ 2-1 หลังจบรายการนั้นแฟนบอลไทยยังปักใจเชื่อว่าทีมชาติไทยดีกว่าทีมชาติอินเดีย และไม่น่าจะด้อยกว่าทีมชาติจีน

เมื่อจบรายการเอเชี่ยน คัพ ทีมชาติไทยชุดใหญ่ได้รับเชิญเข้าร่วมการแข่งขันไชน่า คัพ ที่ประเทศจีน โดยจีนเลือกใช้ไทยเป็นคู่แข่งแบบหมายมั่นปั้นมือว่าจะผ่านเข้าไปชิงแชมป์กับอุรุกวัย ทีมอันดับท็อปเท็นของโลกที่ได้รับเชิญเข้าร่วมแข่ง แต่ดันกลายเป็นว่าทีมชาติไทยได้ชนาธิป สรงกระสินธุ์ส่องประตูโทนให้ทีมไทยหักหน้าเจ้าภาพเข้าไปพบอุรุกวัยแทน ทีมชาติจีนที่มีข่าวว่าเตรียมจะเซย์เยสมาคิงส์ คัพก็ถูกตีตกไปทันที

ฝั่งเวียดนามเองทีแรกมีข่าวว่าไม่อยากมาร่วมรายการคิงส์ คัพเพราะพวกเขามองว่าทีมชาติของตัวเองนั้นเหนือกว่าทีมชาติไทยไปแล้ว เพราะได้ทั้งแชมป์อาเซียน คัพ, และรายการเอเชี่ยน คัพก็ไปไกลกว่าเพราะผ่านเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ขณะที่ไทยจอดแค่รอบ 16 ทีม อันดับโลกก็เหนือกว่าทีมชาติไทย ไม่นับรวมทีมรุ่นอายุต่ำกว่าชุดใหญ่ที่เวียดนามทำผลงานได้ดีกว่าไทยแทบจะทุกรายการ แต่สุดท้ายปาร์ก ฮัง ซอ โค้ชชาวเกาหลีใต้ที่ปลุกปั้นทีมดาวแดงให้มีผลงานสุดหรูก็ขอให้สมาคมฟุตบอลเวียดนามตอบรับเข้าร่วมรายการแข่งที่เมืองไทย เพราะเขามั่นใจว่านาทีนี้เวียดนามไม่ด้อยกว่าไทยแน่ๆ พร้อมด้วยชื่อสุดท้ายที่ได้รับเทียบเชิญเข้าร่วมการแข่งขันคือทีมชาติกือราเซา ทีมชื่อไม่คุ้นหูแต่มีอันดับโลกสูงที่สุดในบรรดาทีมทั้งหมด

สำหรับแฟนบอลทั้งไทยและเวียดนามที่อยากให้ทีมชาติชุดใหญ่ได้เจอกันสักทีก็สมใจหลังโลกออนไลน์ตั้งป้อมใส่กันมานาน ผลการประกบคู่ออกมาเป็นไทยพบเวียดนามและอินเดียพบกือราเซา

รายการคิงส์ คัพครั้งนี้ ทีมชาติไทยจะต้องลงสนามด้วยเกมนัดสำคัญที่แฟนบอลตั้งหน้าตั้งตารอคอย การเจอกันในเกมทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่รายการคัดเลือกฟุตบอลโลก 2018 ในปี 2015 ที่ตอนนั้นไทยชนะทั้งไปและกลับ ขณะที่ผลงานไทยดูสาละวันเตี้ยลง เวียดนามกลับสวนทางเป็นขาขึ้นแบบติดลิฟต์ ทำให้ต่อมความมั่นใจของแฟนบอลไทยถูกสะกิดด้วยคำถามว่า เราโดนเวียดนามแซงไปแล้วหรือเปล่า?

เกมไทย-เวียดนามในคิงส์ คัพครั้งนี้ มันจึงเป็นเกมที่มากกว่าแค่หนึ่งในเกมแพ้ชนะกันในหนึ่งการแข่งขันเท่านั้น แต่คุณค่าของมันคือการประกาศจุดยืนของระดับทีมชาติที่มีต่อกัน ไทยยังเป็นเจ้าอาเซียนเหมือนที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยเชื่อมั่น หรือว่าเวียดนามนั้นก้าวผ่านทีมชาติไทยไปเรียบร้อยแล้ว

 

post

เมื่อพรีเมียร์ลีกอังกฤษยังยืนยันความเป็นลีกเบอร์หนึ่ง

สถานการณ์ฟุตบอลลีกยุโรปเดินทางสู่ช่วงท้ายของฤดูกาล 2019 ในขณะที่บรรดาลีกอื่นๆ ของยุโรปทยอยได้แชมป์กันไป พรีเมียร์ลีกกลับยังอยู่ในช่วงเวลาบดบี้หาแชมป์อยู่เลย ยิ่งสองทีมทั้งลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ต่างผลัดกันพลิกแซงขึ้นเป็นจ่าฝูงแบบแฟนบอลก็ได้แต่เสียวไส้หายใจหายคอไม่ทันตามไปด้วย

เคยมีการตั้งคำถามว่าทำไมลีกฟุตบอลของอังกฤษถึงได้กลายเป็นลีกเบอร์หนึ่งสำหรับแฟนบอลมาโดยตลอด ทำไมมันเป็นลีกที่ทำเงินรายได้จากสปอนเซอร์ได้มากมาย ทำไมมันได้รับความนิยมระดับที่ค่าลิขสิทธิ์สำหรับถ่ายทอดสดนั้นลีกอื่นสู้ไม่ได้ ทั้งที่สโมสรฟุตบอลจากอังกฤษไม่ใช่เบอร์หนึ่งของวงการฟุตบอล ผู้เล่นเบอร์หนึ่งของโลกก็ไม่ได้เล่นในลีกนี้ รวมถึงอังกฤษก็เป็นแค่ชาติที่ไม่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลระดับนานาชาติด้วยซ้ำ คำตอบอยู่ที่ลีกอังกฤษสู้กันได้ถึงพริกถึงขิงกว่าใครเพื่อนนี่เอง

ต่อให้ไม่ใช่แฟนบอลอังกฤษ ​แต่ทุกคนที่ชื่นชอบการดูฟุตบอลย่อมรู้สึกได้ว่าในพรีเมียร์ลีก พวกเขาสู้กันอย่างเอาจริงเอาจังมากกว่า ตลอด 27 ปีของพรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดประกาศศักดาคว้าชัยไปเกือบครึ่งหนึ่งคือเป็นแชมป์ 13 ครั้ง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นทีมที่เหนือกว่าใคร เพราะเส้นทางการได้แชมป์ในแต่ละปีนั้นไม่ได้ง่ายดาย ช่วงทศวรรษที่ 2000 (ฤดูกาล 2000/2001-2009/2010) แม้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะยังคงเป็นทีมที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้มากที่สุด แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญกับการมีคู่แข่งสำคัญที่คอยเบียดคอยแซะให้หล่นจากบัลลังก์สโมสรเบอร์หนึ่งของเกาะซึ่งเรียกรวมกันว่าเป็นท็อปโฟร์ได้แก่ อาร์เซนอล เชลซีและลิเวอร์พูล สามทีมนี้ต่างสร้างทีมขึ้นมาเบียดสู้ในเส้นทางสู่แชมป์ สองทีมจากลอนดอนต่างทำได้สำเร็จ ส่วนลิเวอร์พูลทำได้แค่เกือบ แต่เหนืออื่นได้ ทั้งสี่ทีมนี้ต่างยึดตำแหน่งที่ 1-4 ของตารางขนาดได้เสมอ ยิ่งจากฤดูกาล 2005/2006-2008/2009 เป็น 5 ฤดูกาลที่พวกเขาไม่เคยหลุดจาก 4 ทีมแรก

เป็นลีกอื่นความต่างชั้นของสโมสรนับวันมีแต่จะยิ่งห่าง แต่ไม่ใช่ที่พรีเมียร์ลีก เมื่อก้าวเข้าทศวรรษที่ 2010 (ฤดูกาล 2010/2011-ปัจจุบัน) สโมสรหน้าใหม่อีก 2 ทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ก้าวขึ้นมาสู้ด้วยการทุ่มเงินของเจ้าของสโมสรรายใหม่ ผู้เล่นชั้นยอดที่ถูกกวาดเข้าสู่สโมสรพาทีมเฉือนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในช่วงเวลาก่อนเสียงนกหวีดจบฤดูกาล 2011/2012 และไม่เคยพลาดอันดับ 1-4 ตั้งแต่ขึ้นทศวรรษนี้มา หรือสเปอร์ที่มักจะป้วนเปี้ยนอยู่ในลำดับที่ 5-8 ทุกฤดูกาลก่อนนั้นได้ก็ยกตัวเองมาอยู่ในอันดับที่ 5 อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งขยับขึ้นมาเป็นทีมในโควตาแชมเปี้ยนส์ลีกได้ตลอดสี่ปีหลังสุด พวกเขาสถาปนาการแข่งขันในกลุ่มบิ๊กซิกส์ขึ้นมาแทนท็อปโฟร์

เมื่อกวาดตามองไปทั่วยุโรป การจะหาลีกที่มีการแข่งขันดุเดือดมากขนาดนี้ได้ยากมาก แต่ละลีกต่างมีทีมที่ผูกขาดการเป็นแชมป์อยู่เพียงทีมเดียว อย่างเยอรมันทุกปีก็ยังคงเป็นบาเยิร์น มิวนิค หรืออิตาลีก็มียูเวนตุส การมีทีมอื่นแซงคว้าแชมป์ได้ก็เป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน หรืออย่างในสเปนกับฝรั่งเศสเองก็จะมีแค่ 2-3 ทีมที่ได้ลุ้น แต่สุดท้ายทีมได้แชมป์ก็ไม่พ้นสโมสรเดิมๆ กลับกันเมื่อย้อนมองไปยังพรีเมียร์ลีก ทุกสโมสรต่างได้ลุ้นเบียดสู้กันอยู่ทุกเวลา ความเชื่อที่ว่าสามารถเป็นแชมป์ได้หมุนเวียนอยู่ในมือทีมเหล่านี้ แต่ไม่ได้แปลว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อสโมสรที่คนไม่คาดคิดอย่างเลสเตอร์ ซิตี้ยังสามารถเบียดขึ้นมาคว้าแชมป์ที่คนเอาใจช่วยทั้งโลก

แมนเชสเตอร์ ซิตี้และลิเวอร์พูลทำแต้มเบียดกันไปมาตลอดตั้งแต่เปิดฤดูกาลจนถึงท้ายฤดูกาล 2019 ตราบที่ไม่หมดเสียงนกหวีดจบเกมนัดที่ 38 ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2019 การลุ้นแชมป์ก็ยังไม่จบ และแม้สุดท้ายจะได้ผลแพ้ชนะว่าใครครองแชมป์ไปได้ หลังจบเกมแฟนบอลก็คงจะกล่าวถึงฤดูกาลนี้ในฐานะความมันส์อันดับหนึ่งของลีกจากทั่วยุโรปประจำปีอย่างแน่นอน

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดปะทะลิเวอร์พูล ศึกวันแดงเดือดที่ดุเดือดแรงร้อนกว่านัดแรกแน่นอน

การพบกันของอริร่วมเกาะอังกฤษระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกับลิเวอร์พูล ถูกยกให้เป็น Red War ที่เกาะอังกฤษ เนื่องจากทั้งสองทีมต่างมีฉายาว่า Red หรือสีแดงทั้งคู่ และเมื่อถูกแปลเป็นไทยด้วยคำเก๋ๆ ว่า “ศึกแดงเดือด” มันจึงระบุชัดเจนว่าเกมระหว่างสองทีมนี้พบกันครั้งใดต้องเตะกันอย่างถึงพริกถึงขิง

ทว่าหลายฤดูกาลแล้วที่เกมแดงเดือดไม่ได้เดือดอย่างที่แฟนบอลทั่วโลกตั้งตารอคอย ไม่ลิเวอร์พูลก็แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่หลุดจากสภาพทีมที่แข็งแกร่งไปก่อน โดยเฉพาะฤดูกาลนี้ที่เกมแดงเดือดนัดแรกที่แอนฟิลด์จบลงแบบสู้กันไม่ได้ทุกประการ

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลมีต้นฤดูกาลที่ยอดเยี่ยม พวกเขาไม่แพ้ใครอย่างยาวนานจนกระทั่งถึงนัดแดงเดือดที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดภายใต้การคุมทัพของโฆเซ่ มูริญโญ่ออกมาเยือน มีความคาดหวังถึงระดับความเดือดในเกมไว้เพียงระดับหนึ่ง  เพราะมันเป็นฤดูกาลที่ฝั่งยูไนเต็ดทำผลงานได้ไม่ดีเลย ทุกคนคาดหวังว่าอย่างน้อยในเกมที่เต็มไปด้วยศักดิ์ศรี มันควรจะมีอะไรสนุกขึ้นมาบ้าง ราคาต่อรองก่อนลงสนามเจ้าบ้านต่อ 1 ลูก ปรากฏเซียนทุกสำนักสั่งอยู่ข้างคล็อปป์หมด ผลปรากฏว่าในสนามนั้นลิเวอร์พูลเล่นได้ดีกว่าและเอาชนะได้ทุกแง่มุม จบนัดแรกของศึกแดงเดือดฤดูกาล 2018/2019 อย่างจืดชืด

ความเปลี่ยนแปลงในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดช่วงเดือนธันวาคมกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อดีตนักเตะผู้ซื่อสัตย์ของทีมได้ก้าวมาคุมทีมชั่วคราว เขาเอาบางสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณของสโมสรกลับมา และนั่นทำให้ทีมออกสตาร์ทได้ด้วยชัยชนะในลีก 5 เกมติด และวิธีการเล่นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ไม่ใช่ว่าทีมปีศาจแดงเล่นดีขึ้น พวกเขากลับไปสู่การเล่นแบบที่ควรเป็นมากกว่า ปรัชญาเกมรุกถูกนำกลับมาใช้และมันได้ผล

ลิเวอร์พูลกลับกลายเป็นทีมที่ประสบปัญหา พวกเขากำลังเผชิญกับการที่แนวรับบาดเจ็บ ซึ่งเจอร์เก้น คล็อปป์มีบทเรียนมาแล้วจากฤดูกาลที่ผ่านมา เขาเสริมทัพได้ดี มีผู้เล่นทดแทนอย่างยอดเยี่ยม แต่ข่าวร้ายคือจำนวนของผู้เล่นในแนวรับที่มีอาการบาดเจ็บดันเพิ่มสูงกว่ากว่าที่เกิดขึ้นในฤดูกาลที่แล้ว และผู้เล่นที่มีอยู่ไม่พอหมุนเวียนลงสนาม นี่จึงเป็นสาเหตุให้หงส์แดงเปิดฉากปีใหม่ด้วยการพ่ายสองเกมติด โอกาสเป็นแชมป์ยังสูงแต่มันเปิดกว้างกว่าเก่า

สถานการณ์ขาขึ้นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับขาลงของลิเวอร์พูล ทำให้แฟนบอลมองไปถึงเกมแดงเดือดที่จะเกิดขึ้นช่วงปลายกุมภาพันธ์ในมุมมองใหม่ จากที่เคยคิดหลังจบเกมที่แอนฟิลด์ว่าลิเวอร์พูลคงเอาชนะได้อีกครั้งแบบไม่ยากอะไร กลายเป็นไม่แน่เสียแล้วหากโซลชายังพาลูกทีมเล่นได้ดีอย่างนี้ต่อไป เอาฟอร์มและความพร้อมปัจจุบันเป็นหลัก เกมนี้ออกฝั่งแมนเชสเตอร์ได้ล้างแค้นแน่นอน

ราคาต่อรองเกมแดงเดือดที่โอลด์ แทร็พฟอร์ดไม่เสมอก็ ป.ป. เรื่องจะแพงถึงหนึ่งลูกคงเป็นไปได้ยาก ใครออกราคาต่อมารีบรอง แนวโน้มออกเสมอสูงเพราะลิเวอร์พูลจถึงจะไม่สมบูรณ์ ต้องแค่เรื่องเล่นเอาหนึ่งแต้มไม่น่าพลาด เพราะอย่างน้อยหนึ่งแต้มก็ยังดีกว่าไม่ได้ แถมถ้าแพ้ขึ้นมากำลังใจที่สร้างมาเพื่อการลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในรอบเกือบ 30 ปีจะหายเอา ขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ต้องการล้างอายความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ และทำอันดับเพื่อกลับไปเล่นรายการถ้วยยุโรปอีกครั้งอาจจะผิดหวังเล็กน้อย

เกมนี้แฟนบอลน่าได้รับรู้ถึงอารมณ์ความระทึกใจแบบหนังคนละม้วนกับเกมนัดแรกอย่างสิ้นเชิง และสีสันของเกมที่ทุกคนตั้งตาคอย ก็น่าจะออกมาสมกับที่มันได้รับฉายาว่า “แดงเดือด” อีกครั้งเสียที

แอตเลติโก้ มาดริด เป้าหมายคือสังเวียนนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีกในฝัน

 

การได้เข้าชิงชนะเลิศรายการที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปอย่างยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกคือความฝันของทุกสโมสร แต่ปีนี้แอตเลติโก มาดริดคงอยากที่จะฝันเป็นจริงมากเป็นพิเศษ เมื่อวานด้า เมโทรโปลิตาโน่ รังเหย้าในเกมลา ลีก้าของพวกเขาถูกเลือกเป็นสังเวียนนัดชิงชนะเลิศ

แอตเลติโก มาดริดสามารถผ่านเข้ารอบในกลุ่มที่มีโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จากเยอรมัน, คลับ บรูช จากเบลเยี่ยมและโมนาโก จากฝรั่งเศสเป็นเพื่อนร่วมกลุ่ม โดยเกือบเป็นแชมป์กลุ่มได้ด้วย หากไม่แพ้เฮดทูเอดทีมจากเมืองเบียร์ไปก่อน

นอกจากผลงานในแชมเปี้ยนส์ลีกที่ดีแล้ว เกมในฟุตบอลลีกของสเปน พวกเขาก็เป็นรองจ่าฝูง โดยมีแต้มตามหลังบาร์เซโลน่า 5 แต้มซึ่งเป็นระยะที่ยังได้ลุ้น และห่างจากรีล มาดริด คู่อริร่วมเมือง 5 แต้มเช่นกัน ซึ่งการได้ลุ้นแชมป์และทำอันดับเหนือกว่าอีกทีมของเมืองเป็นสิ่งที่แฟนบอลแอตมาดริดพึงพอใจมาก

สนามวานด้า เมโทรโปลิตาโน่ที่ถูกเปลี่ยนชื่อตามสปอนเซอร์หลักกับความจุ 67,703 ที่นั่ง เดิมทีมันถูกสร้างขึ้นโดยสภาเมืองมาดริดเพื่อใช้เป็นเวทีแข่งกรีฑาชิงแชมป์โลก แต่ก็ไม่ใด้ใช้งาน ถัดจากนั้นก็พยายามที่จะสร้างให้แล้วเสร็จเพื่อใช้ในกีฬาโอลิมปิก 2016 แต่ก็แพ้ในการเสนอตัวอีก ซึ่งหลังจากแพ้การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก ทางสโมสรแอตเลติโก มาดริดที่เพิ่งเซ็นสัญญากับทุนใหม่อย่างวานด้า บริษัทจากประเทศจีนก็เข้ามาซื้อสนามและทำการปรับปรุง ซึ่งก็แทบจะเท่ากับสร้างใหม่อยู่ 4 ปี จนพร้อมเปิดใช้งานในฤดูกาล 2017-2018

สนามแข่งใหม่ ความจุที่มากขึ้น ความทันสมัยที่ไม่น้อยหน้าใคร ทำให้มันกลายเป็นความภาคภูมิใจของสโมสรและแฟนบอล วานด้า เมโทรโปลิตาโน่กลายเป็นเวทีที่ทรงพลังสำหรับสโมสรลายขาวแดงแห่งกรุงมาดริด ด้วยเงินทุนจากสปอนเซอร์ที่มาจากเมืองจีน พวกเขาสามารถสร้างทีมที่แข็งแกร่งขึ้นมาต่อกรกับบาร์เซโลน่าและรีล มาดริดได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ไม่ใช่สู้ได้เพราะเป็นเกมใหญ่แล้วไปพ่ายกับทีมระดับกลางเหมือนที่แล้วมา

ขณะที่ผลงานของทีมดีขึ้นๆ สนามก็ถูกเลือกเป็นสังเวียนนัดชิงของรายการยุโรปที่พวกเขากำลังเข้าร่วม แรงจูงใจที่จะเดินทางไปให้ถึงนัดชิงในบ้านของตัวเองทำให้แอตเลติโก มาดริดเล่นเกมยุโรปอย่างยอดเยี่ยม พวกเขาลงเล่นที่สนามเหย้าและเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด นั่นแปลว่าเกมในวานด้า เทโทรโปลิตาโน่มีความหมายกับพวกเขาและแฟนบอลมากแค่ไหน

ในรอบ 16 ทีม แอตเลติโก้ มาดริดจับฉลากเจอกับอีกหนึ่งทีมที่คาดหวังผลงานระดับสุดยอดอย่างรีล มาดริด นักเตะคนสำคัญของอริร่วมเมืองได้ย้ายไปร่วมทัพและทำให้ยูเวนตุสกลายเป็นตัวเต็งขึ้นมาอย่างน่ากลัว คริสเตียโน่ โรนัลโด้จะได้กลับมาเยือนมาดริดอีกครั้งในสนามของคู่แข่งที่เขาเคยปะทะแข้งด้วย แต่คราวนี้มันคงไม่ง่ายเพราะเดิมพันเข้ารอบต่อไปนั้นสูงมาก

เส้นทางไปยังนัดชิงชนะเลิศของแอตเลติโก มาดริด อาจจะยังเหลือระยะทางอีกไกล แต่มันก็ไม่แน่ถ้าพวกเขาใช้เกมในบ้านเป็นแรงจูงใจที่จะเอาชนะและผ่านทุกทีมเพื่อไปถึงฝัน มันก็อาจจะเป็นไปได้ที่นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลแชมเปี้ยนส์ลีกจะมีชื่อของเจ้าของสนามตัวจริงลงแข่งขันเอง

เพียงแต่ว่าพวกเขาจะต้องหักปากกาเซียนเอาชนะยุเวนตุสที่ตูรินให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นเกมรอบ 16 ทีมจะเป็นเกมสุดท้ายที่ได้เล่นในวานด้า เมโทรโปลิตาโน่เป็นแน่

 

ลิเวอร์พูลกับโอกาสผ่านบาเยิร์นสู่รอบต่อไปของแชมเปี้ยนส์ลีก

พลันที่ผลการจับสลากประกบคู่รอบน็อคเอ้าท์ของรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกออกมาเป็นลิเวอร์พูลพบบาเยิร์น มิวนิค หลายสโมสรที่รอดจากการเจอลิเวอร์พูลก็พากันถอนหายใจยาว และเป็นบาเยิร์น มิวนิคที่ต้องหนักใจว่าพวกเขาจะรับมือกับลิเวอร์พูลอย่างไร

โดยชื่อชั้นแล้วบาเยอร์น มิวนิคไม่มีความจำเป็นต้องกลัวเกรงลิเวอร์พูลแม้แต่น้อย ราคาบ่อนพนันปล่อยให้เป็นแชมป์หงส์แพงกว่า 11/1 แต่บาเยิร์นไม่ห่างเลยที่ 21/1 ถึงอย่างนั้นเครดิตเกมยุโรปของลิเวอร์พูลดีมาก พวกเขามีพลังแฝงที่น่ากลัวยิ่งกว่าตัวตนของทีม นั่นเพราะค่ำคืนในเวทียุโรปของลิเวอร์พูลมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่จนยากเอาชนะ สาวกในแอนฟิลด์คือกำแพงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านขวางทางคู่แข่งทุกทีม และมันคือป้อมปราการที่ช่วยให้ลิเวอร์พูลก้าวไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ ในการลงเล่นถ้วยยุโรปหลายครั้งหลายหนตลอดหลายปีมาแล้ว

เกมนัดสุดท้ายของลิเวอร์พูลในรอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาหลังพิงฝาที่ต้องชนะสถานเดียวเหนือนาโปลี และมันก็จบลงด้วยชัยชนะ 1-0 ตามที่สโมสรเจ้าบ้านต้องการ ย้อนไปในเกมพบดอร์ทมุนด์ในยูโรป้าลีกปีก่อน พวกเขาก็ใช้เกมที่บ้านคว่ำผู้มาเยือนอย่างสุดมันส์ ยังไม่รวมเกมชี้เป็นชี้ตายนัดเจอโอลิมเปียกอสหลายปีก่อน หรือเกมที่พวกเขาถล่มโรม่าในรอบรองชนะเลิศปีที่แล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นภายใต้มนตร์ขลังและพลังวิเศษที่เกิดขึ้นในแอนฟิลด์ทั้งนั้น

ในนาทีนี้ลิเวอร์พูลเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ทำแต้มห่างรองจ่าฝูง 4 แต้ม และมีเกมสำคัญเพียงแค่ฟุตบอลลีกและฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกเท่านั้นที่พวกเขาจะต้องลงเล่น หลังจากที่หมดภารกิจในฟุตบอลถ้วยรายการอื่นอย่างรวดเร็ว บางคนมองว่านี่เป็นหมากที่ลิวเอร์พูลวางไว้โดยทิ้งถ้วยเล็กกว่าไป ทั้งที่ความจริงแล้วมันก็เกิดขึ้นได้เนื่องจากลิเวอร์พูลเผชิญปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่น

แต่ดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลไม่ใช่ทีมเดียวที่ต้องเผชิญปัญหา เนื่องจากคู่แข่งของพวกเขาต้องขาดผู้เล่นสำคัญอย่างโธมัส มุลเล่อร์ที่ติดโทษแบนทั้งสองเกมในการเจอกัน แถมด้วยอาร์เยน ร็อบเบ็นที่มีข่าวเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บอย่างไม่มีกำหนดกลับมาลงสนาม ซึ่งมันอาจจะไปเกิดขึ้นในช่วงที่ทีมลงทำการแข่งขันกันพอดี เนื่องจากปีนี้ทั้งปี ร็อบเบ็นเองก็ได้ลงไม่สม่ำเสมอเพราะอาการบาดเจ็บมาตลอด

นอกจากนี้ผู้จัดการทีมอย่างนิโก้ โควัชก็ยังเผยให้เห็นถึงประสบการณ์ที่ยังไม่ช่ำชองในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ต่างจากเจอร์เก้น คล็อปป์ที่กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวางหมากและแก้เกม โดยเขาสามารถที่จะพาลิเวอร์พูลผ่านสถานการณ์สำคัญๆ ได้ตามแผนที่วางไว้อย่างแยบยล แถมยังหมุนเวียนนักเตะได้ค่อนข้างดี แม้อาการบาดเจ็บของแนวรับจะกลายเป็นปัญหาใหญ่มากก็ตามที

ดูทรงจากตรงนี้ลิเวอร์พูลมีโอกาสดีที่จะผ่านบาเยิร์น มิวนิคเข้าสู่รอบต่อไปของฟุตบอลถ้วยใหญ่ยุโรปได้ไม่ยาก เอาชนะที่แอนฟิลด์แบบไม่เสียประตูสัก 2-0 และบุกไปยันเสมอ 0-0 หรือ 1-1 ถึงมิวนิคก็จบเรื่อง และมันคงไม่ยากที่จะผ่านเข้ารอบต่อๆไป อีกเหมือนที่พวกเขาทำได้ในฤดูกาลที่แล้วจนได้เข้าไปเล่นนัดชิงชนะเลิศ

 

ว่าที่เจ็ดนัดติดของผีแดง เกมที่จะต่อประวัติศาสตร์ของโซลชา

ผู้คนทั่วโลกที่กลายมาเป็นแฟนบอลของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมักชื่นชอบในการเล่นเกมรุกที่ดุดัน รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งนั้นเคยพาแมนเชสเตอร์ ยูในเต็ดครองความยิ่งใหญ่บนเกาะอังกฤษและยุโรป แต่มันหายไปพร้อมการมาของโฆเซ่ มูรินโญ่ อดีตผู้จัดการทีม จนกระทั่งเขาโดนปลด อดีตนักเตะของทีมก็เข้ามาทำหน้าที่แทนพร้อมกลับปรัชญาดั้งเดิมที่ถูกนำกลับมาใช้

โอเล่ กุนน่าร์ โซลชาสามารถเก็บชัยชนะได้ตั้งแต่นัดแรกที่คุมทีม โดยโซลชาพาทีมไปปลดล็อคหลังจากแพ้ลิเวอร์พูลและวาเลนเซียด้วยการชนะคาร์ดิฟฟ์ถึงบ้าน 1-5 แนวรุกสามารถทำประตูได้มากกว่าถึง 5 ลูกหลังจากครั้งสุดท้ายที่ทำได้ต้องย้อนกลับไปสมัยที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันยังคุมทีมด้วยซ้ำ แต่ทุกคนก็พูดว่านั่นเพราะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแข็งแกร่งกว่าคู่แข่งที่อยู่ในกลุ่มหนีตกชั้นมากอยู่แล้ว

ปีศาจแดงลงเล่นอีกสามเกมต่อมาด้วยการเอาชนะฮัดเดอร์ฟิลด์ 3-1, เอาชนะบอร์นมัธ 4-1 และเอาชนะนิวคาสเซิ่ลได้ 0-2 ทุกคนก็ยังคงมองว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยังไม่เจอทีมที่แข็งแกร่ง แต่ถึงตรงนี้แฟนบอลปีศาจแดงและสโมสรคู่แข่งรู้แล้วว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปหลังการมาของโอเล่ กุนน่าร์ โซลชา

เกมเอฟเอคัพกับเร้ดดิ้งก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งเกมที่ชี้วัดความแข็งแกร่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไม่ได้ ทีมรองบ่อนจากลีก วันแทบจะไม่มีอะไรที่สามารถต่อกรกับทีมจากพรีเมียร์ลีกได้เลย และนั่นทำให้โซลชาสามารถสร้างสถิติชนะรวด 5 เกมนับตั้งแต่คุมทีม เทียบเท่ากับตำนานอย่างเซอร์แมตต์ บัสบี้ซึ่งทำเอาไว้ตั้งแต่นานมาแล้ว

โจทย์ใหญ่ของโซลชาที่จะเป็นตัวพิสูจน์เขาและลูกทีมคือเกมนัดที่ 6 ในการคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมีคิดไปเยือนสเปอร์ ทีมที่นัดแรกของการเจอกันบุกมาชนะพวกเขาราบคาบ 3-0

ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นราวกับต้องการให้โซลชาได้เป็นตำนานบทใหม่ ทีมต้องเผชิญหน้ากับสโมสรที่ผู้จัดการทีมของพวกเขาเป็นเป้าหมายในการดึงมาคุมทัพฤดูกาลหน้า แต่การจบลงด้วยชัยชนะ 1-0 จากประตูของมาร์คัส แร็ชฟอร์ด และการป้องกันประตูที่สุดยอดของเดบิด เด เกอา ทำให้ประวัติศาสตร์ใหม่ในการเริ่มต้นงานคุมทีมของผู้จัดการสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปอยู่ที่ชัยชนะ 6 เกมรวด

แฟนบอลปีศาจแดงคงหวังว่าโซลชาจะสามารถทำสถิติใหม่ต่อไปได้อีก เพราะนัดหน้าพวกเขาจะได้เจอไบรท์ตัน แม้ว่าคู่แข่งจะเป็นทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องความเหนียวแน่นแถมยังเอาชนะพวกเขามาก่อน หากล้างแค้นได้มันจะเป็นเกมที่ 7 ของโซลชา และหากมีเกมที่ 7 ก็อาจจะมีเกมที่ 8 หากสามารถเอาชนะอาร์เซน่อลได้ในรอบถัดไปของฟุตบอลเอฟเอ คัพ

พูดตามตรงว่าโอกาสเก็บทั้งไบรท์ตันและอาร์เซน่อลเป็นไปได้หมดสำหรับผีแดงตอนนี้ สองเกมข้างหน้า ถ้าราคาไม่แพง เชื่อใจโซลชา วางใจหนูเดฟ ลุ้นหนึ่งเม็ดจากหนูแร็ช ถือหางผีแดงไว้ไม่ผิดหวัง

เทพนิยายที่โซลชากำลังทำอยู่ตอนนี้อาจจะยืดยาวออกไปอีกเรื่อยๆ หากเทียบกับการที่เขาสามารถซื้อใจนักเตะให้กลับมาอยู่ในความกระหายชัยชนะได้เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ และบางทีมันอาจจะส่งผลให้เขาได้สัญญาฉบับใหม่ที่ไม่ใช่แค่การคุมทีมช่วยสโมสรที่รักเป็นการชั่วคราวไปจนสิ้นสุดฤดูกาลนี้เท่านั้น

 

อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ทีมพลังหนุ่มที่โดดเด่นในเวทีแชมเปี้ยนส์ลีก

สโมสรจากเดนมาร์กเป็นแค่ทีมจากลีกระดับรองของยุโรปมาหลายปีต่อเนื่อง พวกเขามักสูญเสียผู้เล่นชั้นดีของทีมให้สโมสรใหญ่ๆ ในฤดูกาลถัดมาอยู่เป็นประจำ แต่มันไม่เกิดขึ้นกับอาแจ็กซ์ในฤดูกาลนี้

ปีที่แล้วอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัมสามารถทะลุเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศรายการยูโรป้า ลีกได้อย่างเซอร์ไพรซ์ พวกเขามีดาวรุ่งชั้นเยี่ยมมากมายสมกับที่เป็นสโมสรที่โดดเด่นในการปั้นนักเตะดาวรุ่ง จบฤดูกาลที่แล้วพวกเขารักษาขุมกำลังไว้ได้เกือบทั้งหมด และทุกคนก็กลายมาเป็นนักเตะที่ถูกกล่าวถึงมากในการแข่งขันแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลนี้

มัทไธจ์ส เด ลิกต์ กองหลังวัย 19 ปี, ดอนนี่ ฟาน เด เบค กองกลางวัย 20 ปี, แฟร้งกี้ เดอ ย็อง กองกลางวัย 21 ปี, นัซเซอร์ มาซราอุย วิงแบ็ควัย 21 ปี รวมถึงเดวิด เนเรส ปีกขวาวัย 21 ปี ซึ่งทุกคนเป็นกำลังสำคัญในฤดูกาลที่ผ่านมา แถมแต่ละรายก็ถูกเชื่อมโยงข่าวย้ายตัวกับสโมสรระดับชั้นนำ จากทั้งสเปน อังกฤษและอิตาลี จึงนับว่าเป็นความเยี่ยมยอดที่อาแจ็กซ์สามารถรั้งพวกเขาไว้ได้ และมันทำให้ทีมสามารถลงต่อกรกับคู่แข่งในแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม ที่มีเพื่อนร่วมกลุ่มอย่างบาเยิร์นได้อย่างน่าประทับใจ

อาแจ็กซ์ทะลุเข้ารอบน็อคเอ้าท์ด้วยการไม่แพ้บาเยิร์น มิวนิคทั้งสองนัด มันคือก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของบรรดาแข้งวัยรุ่น ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเขาได้ลงเล่นในเกมระดับสูงต่อไปอีก หลังจากที่ปกติมักตกรอบแบ่งกลุ่มไปก่อน แต่มันทำให้ทุกคนมีโอกาสแสดงศักยภาพที่เปลี่ยนเป็นค่าตัวที่สูงขึ้น และเงินจะย้อนกลับไปที่สโมสรมากกว่าที่จะได้รับหากปล่อยนักเตะไปตั้งแต่ซัมเมอร์ที่ผ่านมา

คู่แข่งของอาแจ็กซ์ในรอบ 16 ทีมคือทีมเจ้าของแชมป์มากที่สุดของรายการยุโรปอย่างรีล มาดริด ในสภาพที่ราชัน ชุดขาวดูจะไม่แข็งแกร่งเหมือนที่พวกเขาเคยเป็น อาแจ็กซ์สามารถคาดหวังได้ว่าพวกเขาจะทำผลงานที่ดีได้เหมือนที่สร้างความลำบากให้กับแชมป์บุนเดสลีก้าทั้งในนัดเยือนที่เสมอ 1-1 และนัดเหย้าที่เสมอกัน 3-3

แต่ถ้าถามว่าจะผ่านรีล มาดริดได้ไหม คำตอบคง “เป็นไปได้ยาก”

แข้งดาวรุ่งของอาแจ็กซ์ได้แสดงให้เห็นความสามารถเกินระดับอายุของตัวพวกเขา ส่วนหนึ่งมันเกิดจากการที่ได้เล่นกันอย่างต่อเนื่องในเกมระดับสูงต่อจากฤดูกาลที่แล้ว กระดูกของพวกเขาแข็งขึ้นและนั่นทำให้พวกเขากล้าที่จะสู้อย่างไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีคู่แข่งที่เหนือกว่า

แต่อาแจ็กซ์อาจจะต้องทำใจว่าหลังจากจบฤดูกาลนี้ หรืออาจจะตั้งแต่ตลาดรอบสองนี้เลยก็ได้ที่พวกเขาจะต้องเสียนักเตะกำลังสำคัญออกไปจากทีม เพราะนอกจากสโมสรต้องทำธุรกิจฟุตบอลแล้ว นักเตะเองก็อยากได้เวทีที่ใหญ่ขึ้นในการสั่งสมชื่อเสียง ซึ่งนั่นก็เป็นแนวทางที่อาแจ็กซ์ยอมรับมาตั้งแต่แรกว่า พวกเขาคงไม่แคล้วที่จะต้องเดินหน้าในธุรกิจลูกหนังแบบนี้

หมดจากดาวรุ่งชุดนี้ อาแจ็กซ์ก็คงสร้างนักเตะดาวรุ่งเพิ่มขึ้นมาได้อีกมากมาย เพราะอย่างน้อยทุกคนก็รู้ดีกว่า ที่สโมสรแห่งนี้พวกเขามีโอกาสลงเล่นและต่อยอดสู่สโมสรที่อยู่เหนือขึ้นไปได้ไม่ยาก