ว่าที่เจ็ดนัดติดของผีแดง เกมที่จะต่อประวัติศาสตร์ของโซลชา

ผู้คนทั่วโลกที่กลายมาเป็นแฟนบอลของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมักชื่นชอบในการเล่นเกมรุกที่ดุดัน รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งนั้นเคยพาแมนเชสเตอร์ ยูในเต็ดครองความยิ่งใหญ่บนเกาะอังกฤษและยุโรป แต่มันหายไปพร้อมการมาของโฆเซ่ มูรินโญ่ อดีตผู้จัดการทีม จนกระทั่งเขาโดนปลด อดีตนักเตะของทีมก็เข้ามาทำหน้าที่แทนพร้อมกลับปรัชญาดั้งเดิมที่ถูกนำกลับมาใช้

โอเล่ กุนน่าร์ โซลชาสามารถเก็บชัยชนะได้ตั้งแต่นัดแรกที่คุมทีม โดยโซลชาพาทีมไปปลดล็อคหลังจากแพ้ลิเวอร์พูลและวาเลนเซียด้วยการชนะคาร์ดิฟฟ์ถึงบ้าน 1-5 แนวรุกสามารถทำประตูได้มากกว่าถึง 5 ลูกหลังจากครั้งสุดท้ายที่ทำได้ต้องย้อนกลับไปสมัยที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันยังคุมทีมด้วยซ้ำ แต่ทุกคนก็พูดว่านั่นเพราะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแข็งแกร่งกว่าคู่แข่งที่อยู่ในกลุ่มหนีตกชั้นมากอยู่แล้ว

ปีศาจแดงลงเล่นอีกสามเกมต่อมาด้วยการเอาชนะฮัดเดอร์ฟิลด์ 3-1, เอาชนะบอร์นมัธ 4-1 และเอาชนะนิวคาสเซิ่ลได้ 0-2 ทุกคนก็ยังคงมองว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยังไม่เจอทีมที่แข็งแกร่ง แต่ถึงตรงนี้แฟนบอลปีศาจแดงและสโมสรคู่แข่งรู้แล้วว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปหลังการมาของโอเล่ กุนน่าร์ โซลชา

เกมเอฟเอคัพกับเร้ดดิ้งก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งเกมที่ชี้วัดความแข็งแกร่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไม่ได้ ทีมรองบ่อนจากลีก วันแทบจะไม่มีอะไรที่สามารถต่อกรกับทีมจากพรีเมียร์ลีกได้เลย และนั่นทำให้โซลชาสามารถสร้างสถิติชนะรวด 5 เกมนับตั้งแต่คุมทีม เทียบเท่ากับตำนานอย่างเซอร์แมตต์ บัสบี้ซึ่งทำเอาไว้ตั้งแต่นานมาแล้ว

โจทย์ใหญ่ของโซลชาที่จะเป็นตัวพิสูจน์เขาและลูกทีมคือเกมนัดที่ 6 ในการคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมีคิดไปเยือนสเปอร์ ทีมที่นัดแรกของการเจอกันบุกมาชนะพวกเขาราบคาบ 3-0

ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นราวกับต้องการให้โซลชาได้เป็นตำนานบทใหม่ ทีมต้องเผชิญหน้ากับสโมสรที่ผู้จัดการทีมของพวกเขาเป็นเป้าหมายในการดึงมาคุมทัพฤดูกาลหน้า แต่การจบลงด้วยชัยชนะ 1-0 จากประตูของมาร์คัส แร็ชฟอร์ด และการป้องกันประตูที่สุดยอดของเดบิด เด เกอา ทำให้ประวัติศาสตร์ใหม่ในการเริ่มต้นงานคุมทีมของผู้จัดการสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปอยู่ที่ชัยชนะ 6 เกมรวด

แฟนบอลปีศาจแดงคงหวังว่าโซลชาจะสามารถทำสถิติใหม่ต่อไปได้อีก เพราะนัดหน้าพวกเขาจะได้เจอไบรท์ตัน แม้ว่าคู่แข่งจะเป็นทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องความเหนียวแน่นแถมยังเอาชนะพวกเขามาก่อน หากล้างแค้นได้มันจะเป็นเกมที่ 7 ของโซลชา และหากมีเกมที่ 7 ก็อาจจะมีเกมที่ 8 หากสามารถเอาชนะอาร์เซน่อลได้ในรอบถัดไปของฟุตบอลเอฟเอ คัพ

พูดตามตรงว่าโอกาสเก็บทั้งไบรท์ตันและอาร์เซน่อลเป็นไปได้หมดสำหรับผีแดงตอนนี้ สองเกมข้างหน้า ถ้าราคาไม่แพง เชื่อใจโซลชา วางใจหนูเดฟ ลุ้นหนึ่งเม็ดจากหนูแร็ช ถือหางผีแดงไว้ไม่ผิดหวัง

เทพนิยายที่โซลชากำลังทำอยู่ตอนนี้อาจจะยืดยาวออกไปอีกเรื่อยๆ หากเทียบกับการที่เขาสามารถซื้อใจนักเตะให้กลับมาอยู่ในความกระหายชัยชนะได้เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ และบางทีมันอาจจะส่งผลให้เขาได้สัญญาฉบับใหม่ที่ไม่ใช่แค่การคุมทีมช่วยสโมสรที่รักเป็นการชั่วคราวไปจนสิ้นสุดฤดูกาลนี้เท่านั้น

 

อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ทีมพลังหนุ่มที่โดดเด่นในเวทีแชมเปี้ยนส์ลีก

สโมสรจากเดนมาร์กเป็นแค่ทีมจากลีกระดับรองของยุโรปมาหลายปีต่อเนื่อง พวกเขามักสูญเสียผู้เล่นชั้นดีของทีมให้สโมสรใหญ่ๆ ในฤดูกาลถัดมาอยู่เป็นประจำ แต่มันไม่เกิดขึ้นกับอาแจ็กซ์ในฤดูกาลนี้

ปีที่แล้วอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัมสามารถทะลุเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศรายการยูโรป้า ลีกได้อย่างเซอร์ไพรซ์ พวกเขามีดาวรุ่งชั้นเยี่ยมมากมายสมกับที่เป็นสโมสรที่โดดเด่นในการปั้นนักเตะดาวรุ่ง จบฤดูกาลที่แล้วพวกเขารักษาขุมกำลังไว้ได้เกือบทั้งหมด และทุกคนก็กลายมาเป็นนักเตะที่ถูกกล่าวถึงมากในการแข่งขันแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลนี้

มัทไธจ์ส เด ลิกต์ กองหลังวัย 19 ปี, ดอนนี่ ฟาน เด เบค กองกลางวัย 20 ปี, แฟร้งกี้ เดอ ย็อง กองกลางวัย 21 ปี, นัซเซอร์ มาซราอุย วิงแบ็ควัย 21 ปี รวมถึงเดวิด เนเรส ปีกขวาวัย 21 ปี ซึ่งทุกคนเป็นกำลังสำคัญในฤดูกาลที่ผ่านมา แถมแต่ละรายก็ถูกเชื่อมโยงข่าวย้ายตัวกับสโมสรระดับชั้นนำ จากทั้งสเปน อังกฤษและอิตาลี จึงนับว่าเป็นความเยี่ยมยอดที่อาแจ็กซ์สามารถรั้งพวกเขาไว้ได้ และมันทำให้ทีมสามารถลงต่อกรกับคู่แข่งในแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม ที่มีเพื่อนร่วมกลุ่มอย่างบาเยิร์นได้อย่างน่าประทับใจ

อาแจ็กซ์ทะลุเข้ารอบน็อคเอ้าท์ด้วยการไม่แพ้บาเยิร์น มิวนิคทั้งสองนัด มันคือก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของบรรดาแข้งวัยรุ่น ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเขาได้ลงเล่นในเกมระดับสูงต่อไปอีก หลังจากที่ปกติมักตกรอบแบ่งกลุ่มไปก่อน แต่มันทำให้ทุกคนมีโอกาสแสดงศักยภาพที่เปลี่ยนเป็นค่าตัวที่สูงขึ้น และเงินจะย้อนกลับไปที่สโมสรมากกว่าที่จะได้รับหากปล่อยนักเตะไปตั้งแต่ซัมเมอร์ที่ผ่านมา

คู่แข่งของอาแจ็กซ์ในรอบ 16 ทีมคือทีมเจ้าของแชมป์มากที่สุดของรายการยุโรปอย่างรีล มาดริด ในสภาพที่ราชัน ชุดขาวดูจะไม่แข็งแกร่งเหมือนที่พวกเขาเคยเป็น อาแจ็กซ์สามารถคาดหวังได้ว่าพวกเขาจะทำผลงานที่ดีได้เหมือนที่สร้างความลำบากให้กับแชมป์บุนเดสลีก้าทั้งในนัดเยือนที่เสมอ 1-1 และนัดเหย้าที่เสมอกัน 3-3

แต่ถ้าถามว่าจะผ่านรีล มาดริดได้ไหม คำตอบคง “เป็นไปได้ยาก”

แข้งดาวรุ่งของอาแจ็กซ์ได้แสดงให้เห็นความสามารถเกินระดับอายุของตัวพวกเขา ส่วนหนึ่งมันเกิดจากการที่ได้เล่นกันอย่างต่อเนื่องในเกมระดับสูงต่อจากฤดูกาลที่แล้ว กระดูกของพวกเขาแข็งขึ้นและนั่นทำให้พวกเขากล้าที่จะสู้อย่างไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีคู่แข่งที่เหนือกว่า

แต่อาแจ็กซ์อาจจะต้องทำใจว่าหลังจากจบฤดูกาลนี้ หรืออาจจะตั้งแต่ตลาดรอบสองนี้เลยก็ได้ที่พวกเขาจะต้องเสียนักเตะกำลังสำคัญออกไปจากทีม เพราะนอกจากสโมสรต้องทำธุรกิจฟุตบอลแล้ว นักเตะเองก็อยากได้เวทีที่ใหญ่ขึ้นในการสั่งสมชื่อเสียง ซึ่งนั่นก็เป็นแนวทางที่อาแจ็กซ์ยอมรับมาตั้งแต่แรกว่า พวกเขาคงไม่แคล้วที่จะต้องเดินหน้าในธุรกิจลูกหนังแบบนี้

หมดจากดาวรุ่งชุดนี้ อาแจ็กซ์ก็คงสร้างนักเตะดาวรุ่งเพิ่มขึ้นมาได้อีกมากมาย เพราะอย่างน้อยทุกคนก็รู้ดีกว่า ที่สโมสรแห่งนี้พวกเขามีโอกาสลงเล่นและต่อยอดสู่สโมสรที่อยู่เหนือขึ้นไปได้ไม่ยาก

ชีวิตบนเวทีใหม่ของคริสเตียโน่ โรนัลโด้

ไม่มีใครคิดว่าโรนัลโด้จะย้ายออกจากรีล มาดริด และไม่มีใครคิดว่าทีมที่โรนัลโด้เลือกไปนั้นจะเป็นยูเวนตุส โดยเฉพาะการที่ทีมม้าลายแห่งตูรินยอมจ่ายถึง 100 ล้านปอนด์เพื่อแลกนักเตะหนึ่งรายที่มีอายุถึง 33 ปีแล้วมันเป็นอะไรที่บ้ามาก

แต่แล้วโรนัลโด้ก็ทำให้ทุกคนเห็นว่าเขาคือของจริงที่ยังคงเป็นตัวจริง สถิติของทั้งตัวเองและทำร่วมกับสโมสรถูกสร้างขึ้นแทบจะทุกสัปดาห์ ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับการมาของเขา ยอดรวมผู้ชมในสนาม ยอดจำหน่ายเสื้อ และอีกมากมายที่ยูเวนตุสและลีกเซเรีย อาได้ไปจากการมาของกัปตันทีมชาติโปรตุเกสคนเดียว เป็นอะไรที่เกินคาดมาก

ยูเวนตุสเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่องแม้ช่วงแรกโรนัลโด้จะฟอร์มยังไม่ดีนัก และหลังจากที่โรนัลโด้ติดเครื่องได้ เขาก็ยิ่งเล่นได้โดดเด่นและเป็นหัวใจของทีม ไม่เพียงแต่เกมในลีกเท่านั้น หากแต่รวมไปถึงในรายการยุโรป ยูเวนตุสก็น่าเกรงขามขึ้นไปอีกระดับจากที่พวกเขาเคยเป็น ใครจะคิดว่าแค่นักเตะหนึ่งรายจะทำอะไรให้เปลี่ยนแปลงได้ขนาดนั้น

จากสโมสรที่ยิ่งใหญ่คับประเทศอิตาลี แชมป์สคูเด็ดโต้ 7 สมัยติด แชมป์โคปา อิตาเลีย 4 สมัย แต่ในรายการยุโรปที่พวกเขาไปทุกปีกลับมีเพียงแค่คำว่าเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์เท่านั้น ทั้งสโมสรและแฟนบอลรู้ว่าทีมของพวกเขาเก่งไม่แพ้ใคร แต่มันยังไม่ดีพออยู่ทุกปี

เรื่องหนึ่งที่ถูกกล่าวขานถึงมากที่สุดก็คือเรื่องนิสัยในความอยากเอาชนะของโรนัลโด้ นักเตะวัย 33 ปีสร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าเพื่อนร่วมทีมอย่างมากว่าเขารักษาสภาพความฟิตของตัวเองไว้ได้อย่างไร ปรากฏว่าข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ถูกบอกกล่าวกับถึงพฤติกรรมบ้าซ้อม บ้าฟิตเนสของโรนัลโด้ที่ทุกคนต้องยอมศิโรราบ

ความเป็นคนที่ทุ่มเทและทำงานหนักมาของคริสเตียโน่ โรนัลโด้นี่เองที่เป็นตัวจุดประกายความมุ่งมั่นให้คนรอบข้าง โรนัลโด้ไม่ได้เอ่ยปากให้คนนั้นคนนี้เล่นให้เต็มที่ แต่การที่เขาเองเล่นเกินร้อยทุกครั้งที่ลงสนาม มันทำให้คนอื่นๆ ตื่นตัวตามไปด้วย สตาร์ในทีมยูเวนตุสต้องพยายามดิ้นรนหนีร่มเงาความยิ่งใหญ่ของโรนัลโด้ นั่นกลายเป็นการรีดศักยภาพตัวเองออกมา และมันส่งผลดีต่อเจ้าม้าลายในทุกเกมการแข่งขัน แม้แต่ในเกมที่โรนัลโด้ทำอะไรได้ไม่ดีเหมือนเกมอื่นๆ

หลายเกมที่ยูเวนตุสเคยเล่นเพื่อผลสกอร์เสมอ แผนการเล่นอย่างระมัดระวังมากเกินไป ทำให้บางครั้งยูเวนตุสจบเกมด้วยการชนะ 1-0 ซึ่งมันก็เพียงพอสำหรับพวกเขา แน่นอนว่าสามแต้มนั้นสำคัญ แต่แฟนบอลต้องการอะไรมากกว่านั้น การมาของโรนัลโด้ทำให้แฟนบอลสัมผัสได้ถึงความกระหายในการทำประตูเพิ่ม และเมื่อทำได้แล้วก็ยังไม่หยุดที่จะอยากทำได้ดี อารมณ์ของเกมที่ยูเวนตุสลงเล่นเปลี่ยนไป ซึ่งมันดีต่อการเรียกแฟนบอลให้เข้าสู่สนาม ไม่ใช่แค่แฟนของม้าลาย แต่รวมไปถึงแฟนบอลคู่แข่งด้วย

ความกระหายในชัยชนะจากการแข่งขันของโรนัลโด้ เปลี่ยนให้เวทีเซเรีย อามีสีสันใหม่ ทุกคนสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นที่เพิ่มระดับขึ้น นักเตะที่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ด้วยสิ่งที่เขาเป็นนั้นยิ่งใหญ่มาก และทุกวันๆ ของเกมฟุตบอลในอิตาลี ตราบที่โรนัลโด้ยังคงลงเล่นอยู่ก็น่าจะกลับสู่ความรุ่งเรืองในแบบที่พวกเขาเคยเป็นอีกครั้งได้ และมันคงจะมากยิ่งขึ้นถ้าโรนัลโด้พาทีมคว้าแชมป์ถ้วยยุโรปปีนี้ได้ ราคาต่อรองที่ปล่อยออกมาให้พวกเขาเป็นเต็ง 3 ที่ 13/2 เป็นอะไรที่คุ้มค่าในการลงทุนมาก

 

ลูเชี่ยน ฟาฟร์ ชายผู้พาความสวยงามของฟุตบอลกลับมายังถิ่นเสือเหลือง

หนึ่งฤดูกาลก่อนการมาของลูเชี่ยน ฟาฟร์ สโมสรฟุตบอลที่กลายเป็นทีมชั้นแนวหน้าของเยอรมันอย่างโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ในช่วงหนึ่งทศวรรษหลังอยู่ในสภาพที่ตกต่ำลง จากที่เคยได้เป็นแชมป์หรือไม่ก็รองแชมป์บุนเดสลีก้า ผ่านเข้าชิงเอเอฟเบ โพคาล ผ่านถึงรอบน็อคเอ้าท์แชมเปี้ยนส์ลีก ทีมประสบความล้มเหลวแทบทุกรายการที่ลงเล่น

สองผู้จัดการทีมทั้งปีเตอร์ บอสซ์และปีเตอร์ สโตเกอร์ไม่สามารถทำให้ซิกนัล อิดูน่า ปาร์คกลายเป็นที่น่าเกรงขามเหมือนตอนที่เจอร์เก้น คล็อปป์และโธมัส ทูเคิ่ลทำไว้ ความสวยงามของการเล่นในหลายฤดูกาลหลังหายไป พวกเขาจบได้อันดับ 4 ในลีก ฟุตบอลถ้วยในประเทศก็ถึงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ตกรอบแบ่งกลุ่มจากแชมเปี้ยนส์ ลีกและไปหยุดแค่รอบ 16 ทีมในยูโรป้า ลีก กองหน้าตัวเก่งอย่างปิแอร์ เอเมอริก-โอบาเมยองก็ถูกขายออกจากทีม แถมยังแพ้คู่แข่งอย่างบาเยิร์นยับเยิน 6-0 ทีมต้องการการเปลี่ยนแปลง และลูเชี่ยน ฟาฟร์คือคนที่ถูกเลือก

ผู้จัดการทีมชาวสวิสเซอร์แลนด์ถูกดึงตัวจากนีซ สโมสรในฝรั่งเศส ผลงานที่นีซของฟาฟร์นั้นโดดเด่นมาก แม้ไม่สามารถพานีซ ทีมระดับกลางๆ เป็นแชมป์ แต่ก็จบสูงถึงอันดับ 3 จุดแข็งของฟาฟร์คือการที่เขาทำให้นักเตะฟอร์มดีขึ้นมาได้ หนึ่งคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวแสบอย่างมาริโอ บาโลเตลลี่ที่ฟอร์มดร็อปสวนทางกับความยุ่งเหยิงนอกสนามกลายมาเป็นผู้เล่นที่ทำทุกอย่างให้สโมสรได้อย่างยอดเยี่ยม เท่านั้นไม่พอ นักเตะไร้ชื่อเสียงอย่างฌอง-มิเชล เซรี, อาเลสซาเน่ เปลอา หรือไวแลน ซีเปรียง ต่างสามารถเล่นกันได้อย่างสุดยอด อาจจะยอดที่สุดตลอดชีวิตการค้าแข้งของพวกเขา ทำให้ดอร์ทมุนด์เล็งเห็นความสามารถในการปั้นนักเตะชื่อเสียงไม่ดังให้กลายเป็นดาวได้

ที่ดอร์ทมุนด์ในฤดูกาลนี้ มาร์โก้ รอยซ์ กองกลางกัปตันทีมทำผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตได้อย่างน่าประทับใจ เช่นเดียวกับกองหน้าที่ยืมตัวมาแบบคนไร้ชื่อเสียงอย่างปาโก้ อัลกาเซอร์ก็กลายเป็นดาวยิงฟอร์มแรง นี่คือสิ่งที่ฟาฟร์ทำให้ดอร์ทมุนด์กลับมาเป็นทีมที่ลงเล่นแล้วดูน่าสนุก

ชื่อเสียงเรื่องปั้นนักเตะพรสวรรค์สูงให้กลายเป็นแข้งชั้นดีได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ฟาฟร์ถูกยกย่อง จาดอน ซานโช่ นักเตะหนุ่มจากอังกฤษเลือกที่จะย้ายมาหาประสบการณ์และโอกาสจากสโมสรนอกประเทศ และฟาฟร์ก็เชื่อมั่นในฝีเท้าของเด็กหนุ่ม จนส่งผลให้เขากลายเป็นดาวเด่นดวงใหม่ของบุนเดสลีก้า ซานโช่กลายเป็นผู้เล่นดาวรุ่งที่ถูกจับตามอง และถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษ

ตอนที่ฟาฟร์เข้ามาทำหน้าที่ ไม่มีใครคิดว่าเขาจะพาทีมเป็นจ่าฝูงได้ง่ายๆ เพราะที่เยอรมันนั้นใครๆ ก็ต้องนึกถึงทีมเบอร์หนึ่งอย่างบาเยิร์นก่อน แม้จะออกสตาร์ทด้วยการขึ้นเป็นจ่าฝูงตั้งแต่เกมแรก แต่เมื่อผ่านไปสี่เกมให้หลัง ดอร์ทมุนด์ก็หลุดจากจ่าฝูง พวกเขาอาจจะไม่แพ้แต่ก็สะดุดเสมอจนทีมหล่นลงมาจากตำแหน่งหัวตาราง ฟาฟร์จูนเครื่องใหม่และพาทีมกลับมาชนะด้วยการยิงประตูคู่แข่งอย่างสนุกสนาน ดอร์ทมุนด์ลงสนามอย่างมั่นใจ พวกเขาสามารถทำประตูคู่แข่งได้ทุกนัด มากบ้างน้อยบ้าง แต่แฟนบอลก็สามารถที่จะตื่นตาตื่นใจกับการสร้างโอกาสทำประตูที่ได้ลุ้นตลอด

ใครวิ่งตามเล่นข้างดอร์ทมุนด์มาเรื่อยๆ จะรู้ว่าต่อ 0.5 ลูกได้กินไม่มีพลาด

ถ้ายิงได้ก็ต้องยิง ถ้าโดนยิงก็ต้องยิงคืน เกมของฟาฟร์และดอร์ทมุนด์เป็นแบบนั้น มันคล้ายๆ ช่วงเวลาที่สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเคยทำตัวเองให้กลายเป็นทีมขวัญใจแฟนบอลในยุคก่อนหน้านี้ และเพราะการที่ฟุตบอลมีหลักการว่าใครยิงมากกว่าชนะนี่แหละที่ทำให้ดอร์ทมุนด์ของลูเชี่ยน ฟาฟร์กลายเป็นทีมที่น่าดูชม

ลิเวอร์พูลกับหนทางสู่แชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 29 ปี

ประวัติศาสตร์ 126 ปีของสโมสรจากเมืองลิเวอร์พูล พวกเขาเคยสามารถที่จะยกตัวเองเป็นเบอร์หนึ่งของลีกฟุตบอลเมืองผู้ดีด้วยการเป็นแชมป์ดิวิชั่น 1 ได้มากถึง 18 สมัย ไม่เพียงเท่านั้นยังออกไปครองความยิ่งใหญ่ในเวทียุโรปด้วยการเป็นแชมป์ยูโรปเปี้ยน คัพ 5 สมัยมากกว่าทุกสโมสรร่วมเกาะอังกฤษ แต่ว่าพวกเขาไม่เคยได้สัมผัสแชมป์ลีกสูงสุดมานานถึง 29 ปีเข้าไปแล้ว

ในฤดูกาล 1989-1990 เป็นหนสุดท้ายที่พวกเขาได้ชูถ้วยเบอร์หนึ่งของประเทศ จากนั้นก็ได้แต่มองดูคู่แข่งทีมอื่นหมุนเวียนกันชูถ้วยแชมป์ และต้องเจ็บปวดใจเมื่อเห็นคู่แข่งสำคัญอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเก็บจำนวนแชมป์แซงหน้าพวกเขาไป มันทำให้พวกเขาตกอันดับลงมาจากทีมอันดับหนึ่ง และวนเวียนอยู่กับแค่คำว่าเข้าใกล้โอกาสได้เป็นแชมป์เท่านั้น

การมาของเจอร์เก้น คล็อปป์ในฤดูกาล 2015 ได้นำพาความหวังมาสู่สโมสรลิเวอร์พูล พวกเขากลายเป็นทีมที่มีเอกลักษณ์ในการเล่นโดดเด่นขึ้นมา แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะขึ้นมาทาบคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชลซีและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ รวมไปถึงสเปอร์ด้วย แต่เจอร์เก้น คล็อปป์ก็ทำให้เห็นว่าเขากำลังค่อยๆ ต่อจิ๊กซอว์ของสโมสรให้กลายเป็นรูปที่สมบูรณ์

ฤดูกาล 2017-2018 ลิเวอร์พูลมีรูปร่างหน้าตาของทีมที่ชัดเจน ระบบเกเก้นเพรสซิ่งที่ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันใช้ได้รับการยกย่องว่ามันทำให้ลิเวอร์พูลมีความอันตรายในทุกจังหวะ แต่ปัญหาเรื่องความผิดพลาดของผู้เล่น และขนาดของทีมที่อ่อนแอลงยามเผชิญปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บ ทำให้ลิเวอร์พูลยังไม่ประสบความสำเร็จใดๆ พวกเขาได้แค่อันดับสี่ในลีกและเป็นได้แค่รองแชมป์ฟุตบอลถ้วยยุโรป

หนทางสู่แชมป์พรีเมียร์ลีกของลิเวอร์พูลเริ่มต้นตั้งแต่จบเกมนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก พวกเขาทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เจอร์เก้น คล็อปป์เริ่มต้นต่อจิ๊กซอว์อีกครั้งจนเป็นที่มาของการคว้าตัวอลิสซง เบ็คเกอร์ นายทวารที่แพงที่สุดในโลก(ตอนนั้น) เมื่อได้ผู้รักษาประตูชั้นดี มีกองหลังที่บัญชาการโดยเวอร์กิล ฟาน ไดค์ มีกองกลางและกองหน้าที่เพิ่มจากสามประสานเป็นสี่ประสาน โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่และเชอร์ดาน ชากิรี่ ลิเวอร์พูลก็แข็งแกร่งขึ้นมาในอีกระดับ ที่สำคัญพวกเขาดูเหมือนจะมีสิ่งที่ทุกสโมสรต้องการ นั่นคือมีดวงประกอบ

ลิเวอร์พูลออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรตั้งแต่เปลี่ยนจากดิวิชั่น 1 เดิมมาเป็นพรีเมียร์ลีก การยึดจ่าฝูงและมีแต้มทิ้งห่างแชมป์เก่าอย่างน้อยๆ 4 คะแนนทำให้พวกเขาพลาดได้ 1 เกมแบบไม่ต้องกังวลใจ และการเล่นที่ค่อนข้างหวังผลชัยชนะได้ในเกมที่ต้องชนะ มีแต้มในเกมที่เกือบพลาดได้ทุกครั้ง จบช่วงเทศกาลบ็อกซิ่งเดย์ หงส์แดงเป็นจ่าฝูงแบบห่างๆ ถ้าเอาสถิติย้อนหลังมากาง จ่าฝูงในวันปีใหม่ส่วนใหญ่ได้แชมป์

ราคาต่อรองลิเวอร์พูลจะคว้าแชมป์สำเร็จถูกปรับเป็นเต็งหนึ่งเป็นครั้งแรก และเป็นราคาที่แทงไว้ก็ไม่เสียหายเพราะความเป็นไปได้สูงพอตัว จริงอยู่ว่าเส้นทางการแข่งยังเหลืออีกเกินสิบนัด แต่ตัวตนของลิเวอร์พูลตอนนี้กุมความได้เปรียบเอาไว้มากพอที่จะสามารถมองถึงการเป็นแชมป์ได้เกิน 60% เพียงแต่พวกเขาก็ต้องเตือนสติตัวเองไว้เสมอว่ามันจะจบก็ต่อเมื่อพวกเขาคว้าแชมป์แล้วจริงๆ เท่านั้น ระหว่างนี้ก็แค่ทำงานให้ดีที่สุดเหมือนที่กำลังทำอยู่ต่อไป ถ้ายังทำแบบนี้ได้เรื่อยๆ ทีละเกมๆ พวกเขาจะได้สิ้นสุดการรอคอยเสียที

เมื่อยูไนเต็ดกลับมาอันตราย เปแอสเชต้องไม่ประมาท

ฟอร์มการเล่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในช่วงที่โฆเซ่ มูรินโญ่คุมนั้นบรรดาทีมยักษ์ใหญ่พากันลูบปากเป็นแถว เนื่องจากแมนยูไนเต็ดไม่ใช่ทีมที่อันตรายจนต้องกังวล แนวรุกพวกเขาทื่อ แนวรับก็เปราะ พวกเขาผ่านเข้ารอบด้วยผลงานที่ไม่น่ายำเกรงเลย แม้จะบุกไปชนะยูเวนตุสได้ถึงตูรินก็แทบจะเรียกได้ว่าฟลุกดีเป็นนัดๆ ไป

ปารีส แซงต์ แชร์กแมง เต็ง 4 อุตส่าห์คิดว่าตัวเองได้งานสบายแล้วที่จับสลากมาเจอทีมฟอร์มตกแห่งเกาะอังกฤษ ที่ขนาดบ่อนเชื่อใจให้เป็นถึงเต็ง 11 ตอนนี้พวกเขาต้องคิดใหม่

โอเล่ กุนน่าร์ โซลชากลายเป็นกุนซือขัดตาทัพที่ทำผลงานได้ดี แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกลับมาเป็นทีมที่น่ากลัวอีกครั้ง ปรัชญาเกมรุกที่ถูกนำกลับมาใช้ทำให้นักเตะทุกคนเทใจให้และแย่งกันสร้างผลงานอย่างโดดเด่น แนวคิดทำนองว่าถ้าถูกยิงประตูก็แค่ยิงให้มากกว่า และตราบที่เสียงนกหวีดยังไม่ดังเกมมันยังไม่จบได้ฉุดกระชากสโมสรที่เกือบหลับใหลในฤดูกาลนี้ให้เชิดหน้าขึ้น ตอนนี้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกลับมามีลุ้นทำอันดับมาแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลหน้าแล้ว

เมื่อคู่แข่งฟื้นสภาพจากอาการป่วยกลับมาดีวันดีคืน กลายเป็นเปแอสเชเองที่ต้องจับตามองคู่แข่งรอบหน้าตาไม่กระพริบ เกมรุกของยอดทีมจากปารีสอาจจะน่ากลัว เนย์มาร์และคิลิยัน เอ็มบับเป้อาจจะมีฝีเท้าสุดยอด แต่คู่แข่งก็มีปอล ป็อกบาที่กำลังไปได้สวยกับการเล่นเกมรุก และสำคัญฟุตบอลในสนามเล่นฝั่งละ 11 คน ทีมที่ผู้เล่นช่วยกันเล่นช่วยกันไล่ทั้งทีมก็สามารถเอาชนะทีมที่มีผู้เล่นเก่งกว่าได้

ในเกมลีก เอิง พวกเขาสามารถที่จะวางใจกับตำแหน่งและคะแนนที่นำอันดับสองอยู่เกินสิบคะแนน แต่เกมรอบ น็อคเอ้าท์ของแชมเปี้ยนส์ลีกมันเป็นเกมสองนัดเหย้าเยือนที่ผิดพลาดไม่ได้ การต้องออกไปเยือนโอลด์ แทร็พฟอร์ดในวันที่คู่แข่งกลับมาแข็งแกร่งทั้งในและนอกสนาม พวกเขามีประสบการณ์แพ้ให้ทีมคู่แข่งและบรรยากาศสนามที่แอนฟิลด์มาแล้ว ซึ่งมันก็เป็นไปได้ที่จะเกิดซ้ำที่โอลด์ แทร็พฟอร์ด ดังนั้นพวกเขารู้ดีว่าไม่สามารถประมาทและคิดว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเป็นทีมเดียวกันกับวันที่พวกเขาดีใจที่จับสลากเจออีกแล้ว

โธมัส ทูเคิ่ล ผู้จัดการทีมของเจ้าบุญทุ่มแห่งลีก เอิงต้องมานั่งทำการบ้านรับมือกับเกมรุกของคู่แข่งที่ตอนนี้ยกระดับอันตรายขึ้นทุกขณะ กองหน้าทีมจากอังกฤษมีความเร็วและความคล่องแคล่ว ว่องไวรวมถึงจบสกอร์ได้ดี งานของปารีส แซงต์ แชร์กแมงคือการคุมเกมให้อยู่หมัดจากคู่แข่งที่กำลังได้ใจ การจัดการกับปอล ป็อกบาให้ได้ก่อนที่กองกลางฝรั่งเศสจะแผลงฤทธิ์เป็นโจทย์ที่ยาก เพราะตอนนี้ความมั่นใจของป็อกบาทำให้เขาสามารถรังสรรค์ผลงานที่ยากจะคาดเดาได้ ไม่ต่างจากที่เนย์มาร์หรือเอ็มบับเป้ ผู้เล่นของพวกเขาสามารถทำ มันจึงกลายเป็นงานที่ยากมากขึ้น เมื่อคิดว่าถ้าเป็นพวกเขาเองที่เจอนักเตะอย่างเนย์มาร์หรือเอ็มบับเป้แล้วจะหยุดอย่างไร

ยังมีเวลาอีกเดือนกว่าก่อนที่จะเจอกัน โธมัส ทูเคิ่ล ผู้จัดการทีมเปแอสเชคงต้องจับตามองความเปลี่ยนแปลงของคู่แข่งแบบละสายตาไม่ได้ เขาต้องรีบคิดแผนเล่นงานคู่แข่งให้ออกและบอกลูกทีมว่าห้ามประมาทเด็ดขาด เพราะถึงใครจะบอกว่าเปแอสเชผ่านได้แน่ แต่วันที่แมนยูไนเต็ดไปเยือนยูเวนตุสแบบไม่น่าสู้ได้ ยังชนะม้าลายมาหน้าตาเฉย

ความเป็นไปได้ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้จะกลับมาป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีก

การเป็นแชมป์นั้นยาก แต่การป้องกันแชมป์นั้นยากยิ่งกว่า ประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ผ่านมามีเพียงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและเชลซีแค่สองทีมเท่านั้นที่สามารถทำได้ แต่หนหลังสุดมันก็เกิดขึ้นตั้ง 9 ฤดูกาลมาแล้ว และตอนนี้แชมป์เก่าเรือใบสีฟ้าก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นทีมที่สามป้องกันแชมป์ได้สำเร็จหรือไม่

ต้นเดือนธันวาคมราคาต่อรองแชมป์ยังเป็นของเรือใบที่เหนือกว่าหงส์แดง แต่หลังหมดเดือนธันวาคม แมนเชสเตอร์ ซิตี้หลุดจากจ่าฝูงไปเป็นเพียงอันดับสอง มีช่องว่างคะแนนห่างจากคู่แข่งแย่งแชมป์และจ่าฝูงอย่างลิเวอร์พูล 7 คะแนน บ่อนพนันมองความเป็นไปได้ใหม่ให้หงส์แดงเป็นต่อ เรือใบสีฟ้าจึงมีงานใหญ่ในการลดช่องว่างระหว่างกันให้น้อยลง โดยเฉพาะเกมบิ๊กแมทช์ที่เจอกันเองตอนต้นเดือนมกราคม และพวกเขาก็ทำได้ตามตั้งใจ ปัจจุบันช่องห่างคะแนนอยู่ที่ 4 แต้ม มากพอที่จะมีลุ้นแซงกลับมา

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้สามารถป้องกันแชมป์ได้คือการที่พวกเขายังคงเป็นทีมที่มีเกมรุกดุดัน กองหน้าและกองกลางฝีเท้าจัดจ้าน สถิติการยิงประตูคู่แข่งแบบถล่มทลายหลายต่อหลายนัด การเอาชนะเกมรับที่แพ็คแน่นของที่ทีมเผชิญหน้าด้วย มันแสดงให้เห็นว่าฤดูกาลที่แล้วนั้น การที่พวกเขาเก็บแต้มได้สูงสุดเป็นสถิติใหม่ของลีกที่ 100 คะแนนเป็นผลจากมันสมองและระบบของเป๊บ กวาร์ดิโอล่าโดยแท้

แต่ว่าปัจจัยส่วนตัวเพียงอย่างเดียวไม่พอ เพราะแม้แมนเชสเตอร์ ซิตี้จะออกสตาร์ทได้ดี เก็บชัยชนะได้และแพ้ยาก ผู้เล่นสำคัญอย่างเควิน เดอ บรอยน์หรือดาบิด ซิลบาบาดเจ็บก็ไม่กระทบต่อการจัดทีม ปัญหาของพวกเขาดันเป็นเรื่องที่คู่แข่งอย่างลิเวอร์พูลเสริมทัพมาได้แข็งแกร่งกว่า ใครจะไปรู้ว่าลิเวอร์พูลจะกลายเป็นทีมที่ชนะชัวร์และแพ้ยาก คู่แข่งของพวกเขามาแบบประตูเหนียว หลังแน่น กลางดี หน้าเด่น และเล่นแทบจะไม่พลาดเลย

ตอนนี้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ต้องมานั่งภาวนาให้คู่แข่งสะดุดบ้าง พวกเขาทำงานที่ต้องทำคือการเอาชนะในเกมที่เอติฮัด สเตเดี่ยมได้แล้ว งานเดียวที่ทำได้คือชนะและกดดันไปจนกว่าอีกฝ่ายจะพลาดสักสองหรือสามเกมแล้วตัวเองก็แซงกลับมา แต่ปัญหาคือเมื่อไหร่และใครจะมีดีพอที่ทำแบบนั้น ต้องยอมรับว่าปีนี้หงส์แดงมีผลงานเจอทีมเล็กดีมาก พวกเขาไม่พลาดให้แต้มทีมที่ด้อยกว่าเลย แถมยังเก็บไม่หนึ่งก็สามแต้มจากทีมใหญ่ๆ ได้ทั้งหมด แม้กระทั่งแพ้ก็แพ้แค่ทีมระดับลุ้นแชมป์เท่านั้น แถมตอนนี้ลิเวอร์พูลก็เหลือแค่สองรายการใหญ่ให้ลงเล่นคือพรีเมียร์ลีกกับแชมเปี้ยนลีก ขณะที่เรือใบมีเกมถึงสี่รายการในมือที่ต้องเล่น

เป๊บ กวาร์ดิโอล่าเข้าใจดีว่าสโมสรต้องการทุกเกียรติยศเพื่อยกระดับสโมสรขึ้นมาให้ทัดเทียมทีมใหญ่ที่มีเกียรติประวัติสูงกว่า การได้ถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกแล้วก็เป็นแค่เบอร์หนึ่งในประเทศ แต่สโมสรต้องการก้าวไปเป็นเบอร์หนึ่งในยุโรปบ้าง เช่นกันกับถ้วยรางวัลเล็กน้อยก็ต้องได้มาครอง สุดท้ายเป๊บก็ตัดใจทิ้งถ้วยไหนไม่ได้เลย

ในสถานการณ์ที่ต้องลงเล่นมากรายการ คู่แข่งมีเกมการแข่งขันน้อยกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ยังคงแข็งแกร่งแต่คู่แข่งก็ไม่ต่างกันแถมอาจจะเล่นเพื่อชัยชนะได้แน่นอนกว่า ถ้าทุกอย่างไม่มีอะไรพลิก ฟันธงได้เลยว่าเรือใบสีฟ้าทำได้แค่ทวงแชมป์คืนปีหน้าเท่านั้น